“.....ทุกวันนี้เชื่อผียิ่งกว่าเชื่อพระ เมื่อเชื่อผียิ่งกว่าเชื่อพระ คนก็พากันนับถือผียิ่งกว่านับถือพระท่านผู้ใดที่ยังมั่นคงในพระพุทธศาสนาก็ควรจะตั้งปัญหาถามตัวเองกันสักครั้งว่า เพราะเหตุใดคนทุกวันนี้จึงได้เชื่อผีและนับถือผีมากกว่าเชื่อพระและนับถือพระ ? เพราะเหตุใดคนจึงไปหาผีและกราบไหว้ผี มากกว่าที่จะไปหาพระและกราบไหว้พระ ? คำตอบนั้นถ้าไม่หลอกตนเองแล้ว ก็เห็นจะต้องตอบว่า ผีเป็นที่พึ่งแก่คนทุกวันนี้ยิ่งกว่าพระ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? ตอบได้ว่า เพราะคนทุกวันนี้โลภทรัพย์ โลภชื่อ โลภเสียง โลภอำนาจวาสนา และโลภชาติ โลภภพ เป็นอย่างยิ่ง เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก้อยากได้ทรัพย์ อยากได้ยศ อยากได้ตำแหน่ง อยากได้ชื่อเสียง อยากมีอำนาจวาสนา สิ่งเหล่านี้ทำให้ติดในชีวิต เห็นว่าชีวิตนั้นมีความสุข เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วก็ไม่อยากตายและกลัวตายเป็นอย่างยิ่ง จนในที่สุดเมื่อปฏิเสธความตายไม่ได้เข้าจริง ๆ ก็เกิดความโลภในชาติในภพ คืออยากไปเกิดในชาติใหม่ ภพใหม่ ที่ดีเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม คนเหล่านี้ไม่มีความมั่นใจในตนเองทุกคน เพราะมีความโลภเกินตัวอยู่ด้วยกันทั้งนั้น จึงต้องการที่พึ่ง เมื่อเข้าไปพึ่งพระแล้วพระท่านว่าอย่างไร ? พระท่านก็บอกว่า ทรัพย์ก็ดี ชื่อเสียงก็ดี ยศตำแหน่งและอำนาจวาสนาก็ดี ถ้ายังไม่มีก้ไม่ควรจะไปแสวงหา หรือถ้ามีแล้วก็ไม่ควรจะไปยึดไปติด ชาติและภพนั้น เมื่อมีขึ้นแล้วก็เป็นทุกข์ทั้งสิ้น อย่ามีเสียดีกว่า เมื่อถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอย่างไร ? พระท่านก็บอกว่า อย่าไปยึดในอะไรทั้งสิ้น ตัวกูของกูไม่มี และไม่ใช่ของจริงทั้งนั้น สิ่งที่ควรจะทำก็คือไปนิพพาน เมื่อถามท่านว่า นิพพานนั้นดีอย่างไร ท่านก็บอกว่านิพพานนั้นดี เพราะสูญหมด ไม่มีอะไรเหลือที่จะให้เป็นทุกข์อีกต่อไป เมื่อพระบอกว่าของที่คนอยากได้ทุกอย่างเป็นของไม่ดี ใจคนที่ยังมีโลภก็รับเอาคำสอนนั้นไม่ได้ เมื่อคนส่วนใหญ่ยังกลัวตายกลัวสูญ พระไปสอนเรื่องพระนิพพาน ใจคนก็ยอมรับไม่ได้ กลับสยดสยองในพระนิพพาน ไม่อยากให้ถึงนิพพานเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าเผื่อว่าคนไปหาผี ผีมันไม่พูดอย่างนั้น ไปบอกผีว่าอยากได้ทรัพย์ ผีก็รับปากว่าจะหาให้ ไปบอกผีว่าอยากได้ชื่อเสียง อยากได้ยศตำแหน่ง และอำนาจวาสนา ผีก็บอกว่าจะเป็นไรมี แล้วจะหาให้ ไปบอกผีว่ากลัวตายหรือกลัวเจ็บกลัวไข้ ผีก็บอกว่าไม่เป็นไร เอายานี่ไปกินแล้วจะไม่เจ็บไม่ไข้ และไม่ตายด้วย ไปบอกผีว่าถึงจะตาย ก็ขอให้ได้ไปเกิดดี ๆ ก็แล้วกัน ผีก็บอกว่าเอาเงินมาให้เยอะ ๆ รับรองว่าจะทำให้ไปเกิดดี ๆ แน่ ไปถามผีว่านิพพานนั้นเป็นอย่างไร ผีก็ตอบว่า ใครบอกว่านิพพานสูญ ? ไม่สูญแน่ คนที่เข้านิพพานนั้นคือคนที่ตายไปแล้ว ไปอยู่สบาย ๆ ดีกว่าพรหมเสียอีก สรุปแล้วผีตอบปัญหาของคนโง่ คนโลภ และคนหลงได้หมดทุกข้อ และเป็นที่พอใจคนเหล่านั้นทุกข้อ ผีก็เลยเป็นที่พึ่งยิ่งกว่าพระ เพราะพระเป็นที่พึ่งของคนเหล่านี้ไม่ได้เสียแล้ว ถ้าจะถามว่าทำไมพระจึงเป็นที่พึ่งไม่ได้ ก็ตอบได้ว่า เพราะพระสมัยนี้ท่านชอบเอาความจริงที่คนยังรับไม่ได้มาสอน คนก็เลยเตลิดไปหาผี ถ้าจะถามต่อไปว่า แล้วพระที่ยังมีคนนับถืออยู่เล่า เป็นอย่างไร บางวัดบวชมาไม่กี่พรรษาคนขึ้นมากเหลือเกิน สร้างโบสถ์วิหารการเปรียญได้ใหญ่โตยิ่งกว่าวัดที่ตั้งมาแล้วเป็นร้อย ๆ ปี ? ขอตอบว่า พระที่คนนับถือมาก ๆ เช่นนั้นท่านเป็นผีเสียเอง หรือมิฉะนั้น ท่านก็ตอบปัญหาของคนและสอนคนอย่างที่ผีมันตอบปัญหาและสอน ดังที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว ดู ๆ ไปแล้ว ปัญหาทุกวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่คนไปนับถือผีมากกว่านับถือพระ เพราะเรื่องนั้นเป็นปลายเหตุ ตัวปัญหานั้นอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้พระกลายเป็นผีเสียเอง และเมื่อท่านไม่เป็นผีเสียเองแล้ว ทำอย่างไรจะให้ท่านรู้จักจำแนกแยกแยะธรรมของพระพุทธเจ้าออก เป้นอย่างสูง อย่างกลาง และอย่างต่ำ แล้วสอนธรรมนั้นให้แก่คนที่ไปหาท่านตามลำดับ หรือให้ตรงกับภูมิปัญญาของคน” (คึกฤทธิ์ ปราโมช)