ดร.วิชัย พยัคฆโส [email protected] สภาพัฒน์ฯ อนุมัติให้ความเห็นชอบของงบประมาณ 3,400 ล้านบาท เมื่อ 4 ก.ย. 62 เพื่อสร้างโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี่ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สวทช.) เป็นเจ้าของเรื่องรับผิดชอบโครงการนี้ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ประเทศไทยจะมีโรงานต้นแบบ (sandbag) ตามยุทธศาสตร์ชาติและอุตสาหกรรมในอนาคต เพราะจะเป็นโรงงานที่ใช้เนื้อที่ 3,455 ไร่ ของวังจันทร์ จ.ระยอง ในโครงการ EEC ถือเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy:BCG Economy) เพราะจะใช้เป็นฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศที่จะสร้างมูลค่ากว่า 4.3ล้านล้านบาท (25%GDP) ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายด้านพลังงาน เคมี และวัสดุชีวภาพ อาหารและสารชีวภาพที่ให้คุณสมบัติพิเศษ สำหรับนำไปผลิตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ เครื่องสำอาง และยา โดยหลักการของอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี่ คือ การผลิตที่ยั่งยืน ซึ่งเกิดจากการนำวัตถุดิบของไทยที่เหลือใช้มาใช้ใหม่ เพราะประเทศไทยมีทรัพยากรชีวภาพมากเป็นอันดับ 6 ของโลก หรือประมาณ 40 ล้านตัน ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กลับมาใช้ใหม่ เช่น เอาน้ำตาลมาผลิตเป็นสารอื่นๆให้เกิดมูลค่าสูงขึ้นได้ จึงเป็นโครงการแรกของอาเซียนในการจุดประกายให้ภาคเอกชนเกิดความเขื่อมั่นในการลงทุน ผลิตแล้วมีตลาดรองรับที่แน่นอนว่า sand-bag ของรัฐบาลนี้สามารถเกิดความเป็นจริงขึ้นได้ นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีแบบพลิกโฉมฉับพลันมาผลักดันให้เกิดผลงานวิจัยที่ได้รับการต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างก้าวกระโดด โครงการนี้จึงเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จับต้องได้และรัฐบาลควรลงทุนสร้างโรงงานต้นแบบเช่นนี้ให้เกิดขึ้นกับทุกอุตสาหกรรมใหม่ หรือ New S-curve เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลมิได้เพ้อฝันในแผนยุทธศาสตร์ชาติแต่สามารถทำได้จริง หากร่วมมือกันพัฒนาต่อยอดในทุกๆอุตสาหกรรมใหม่ สวทช. คงต้องแสดงฝีมือให้เห็นว่าอีก 5 ปีข้างหน้า GDP ของประเทศจะเติบโตขึ้นอย่างมากและคงต้องแสวงหาความร่วมมือกับนักวิจัยของประเทศ เช่น ในมหาวิทยาลัย กระทรวงวิทยาศาสตร์ และอาจดึงคนไทยที่เป็นนักวิจัยในต่างประเทศกลับมาช่วยกันพัฒนาประเทศ เมืองนวัตกรรมชีวภาพในพื้นที่ EEC เริ่มเกิดแล้ว ผมเห็นด้วยกับโครงการนี้เป็นอย่างมาก เพราะวัสดุเหลือใช้เรามากมาย เมื่อนำมาใช้หมุนเวียนให้เกิดมูลค่าสูงเชิงพาณิชย์จึงเป็นเป้าหมายของรัฐบาลและของประชาชนที่จะได้รับในอนาคต คงต้องรอดูผลงานของ สวทช. กันต่อไปว่าโครงการนี้จะสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด หากสำเร็จประเทศไทยจะหลุดพ้นจากความยากจนให้เร็วขึ้น ไม่ต้องมาคอยแต่จะแก้รัฐธรรมนูญกันอีก