รศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล บ้านเมืองเรานั้นถามว่า “มีปัญหาหรือไม่?” คำตอบก็คือว่า “มีมากและมีมายาวนานแล้ว” แล้วถามต่อว่า “ปัญหาเยอะแยะมั๊ย?” ก็ต้องตอบเช่นเดียวกันว่า “เยอะมากๆ” หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ยั๊วเยี๊ยะ!” อย่างมากมาย ปัญหามีแทบทุกองค์อณูในสังคมไทย กล่าวคือ ปัญหาสังคมที่เป็นปัญหาสลับซับซ้อนมาก ตั้งแต่รากเหง้าของสังคมระดับล่างจนไต่ถึงระดับสูง ตั้งแต่ปัญหาสถาบันครอบครัวที่แตกแยกหรือไม่ก็ยากจนดิ้นรนต่อสู้เพื่ออยู่รอดไปวันๆ จนถึงผู้คนที่มีเงินทองระดับปานกลางจนถึงระดับสูง ที่อาจต้องถามว่า “ร่ำรวยมาได้อย่างไร” จากครอบครัวหรือจาก “การทุจริตคดโกง” ไม่ว่าการขายยาเสพติดซึ่งหาซื้อได้ง่ายมาก ไม่ว่าตามตรอกซอกซอยจนถึงระดับโรงแรมหรู ปัญหาการค้ามนุษย์ค้าโสเภณีที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจาย ตั้งแต่ริมถนนไปจนถึงระดับนิสิตนักศึกษา นางแบบ หรือแม้กระทั่ง “พริตตี้เกิร์ส (PRETTY CIRL)” บางกลุ่มที่ว่าไปแล้ว “หาได้ง่ายมาก” เนื่องด้วย “ปัญหาการค้าโสเภณีเป็นปัญหาของเงิน” เท่านั้น ที่แทบทุกคนต้องการเงินเพื่อความอยู่รอด ไปจนถึงต้องการความหรูหรา ซื้อข้าวของเสื้อผ้าด้วยสาเหตุ “วัตถุนิยม (MATERIALISM)” ทั้งนี้เป็นปัญหาของสังคมที่ปัจจุบัน “ไม่รู้จักคุณค่าของความเป็นผู้หญิงหรือความเป็นคน” นอกเหนือจากตัวอย่างของปัญหานั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของปัญหาเท่านั้น ความจริงต้องยอมรับว่า สังคมยุคใหม่ คนไทยหรือแม้แต่ชาวต่างชาติต่างเปลี่ยนไป ไม่รู้จัก “ระบบคุณธรรม-ระบบจริยธรรม” และแน่นอนยิ่ง “ระบบศีลธรรม” ที่เกี่ยวกับ “ศาสนา” นั้นแทบไม่ต้องเอ่ยถึง หรือกล่าวอย่างภาษาชาวบ้านว่า คนยุคใหม่ไม่รู้จักเลยว่า “ผิด ชอบ ชั่ว ดี” เป็นอย่างไร หรือแม้กระทั่ง “ศีล 5” ของศาสนาพุทธ จนอาจกล่าวเลยเถิดได้เลยว่า บางคนยังไม่รู้จักเลยว่า “พระที่นั่งอนันตสมาคม” อยู่ที่ไหนและคืออะไร! ปัจจุบันคนยอมรับ “เงินเป็นพระเจ้า!” ที่ไม่รู้ว่าเอาเงินหรือร่ำรวยมาจากไหน ขอให้มีเงินทุกอย่างก็เนรมิตทุกอย่างได้เสมอ หรือปฏิบัติกับคนเช่นข้าทาสบริวาร ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า และคนในสังคมก็เพียงได้รับใช้คนมีเงินเท่านั้น ถามว่า “แล้วการเคารพนับถือคนดีมีหรือไม่” ก็ต้องตอบว่า “น่าจะมี!” แต่อาจไม่คำนึงถึงอะไรมากนัก เพียง “เพื่อความอยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น” นี่แหละครับ ปัญหาส่วนหนึ่งด้านสังคมของสังคมไทย ที่ยังมีคนไทยจำนวนมากยังอ่านไม่ออกเขียนหนังสือไม่ได้อีกโดยผิดกฎหมายทั้งสิ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า “น่าปวดหัว” และที่สำคัญ “ภาครัฐ” เพียรพยายามดูแลคนเหล่านี้ แต่มีเพียงจำนวนมากน้อยเท่าใดที่ปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งต้องเกิดขึ้นทั้งสองทางกล่าวคือ เจ้าหน้าที่ภาครัฐและประชาชนต้องร่วมมือกันสร้าง โดยขอตอบว่า “ยากมาก!” จริงๆ แล้วปัญหาสังคมยังมีอยู่มากมายก่ายกองจนนับไม่ถ้วน นั่นเป็นเพียงนำเสนอมาเท่านั้น โดยในกรณียาเสพติดนั้นไม่ต้องกล่าวถึง ยังคงมีข่าวคราวว่าจับได้เกือบทุกสัปดาห์นับหลายล้านเม็ด ไม่ว่า ยาไอซ์ ยาเค ยาบ้า ยาเฮโรอีน กัญชา ที่แน่นอนต้องมีเจ้าหน้าที่ร่วมเอี่ยวด้วยอย่างแน่นอน การแก้ไขปัญหาสังคมต้องเริ่มที่ “สถาบันครอบครัว” ที่ปัจจุบันครอบครัวทุกครอบครัวอยู่แบบตัวใครตัวมัน ไม่ว่ายากดีมีจน ต่างดิ้นรน “ปากกัดตีนถีบ” จนกระทั่ง มหาเศรษฐีที่ไม่สนใจความเป็นอยู่ของลูกหลาน หรือชาวบ้านเรียกว่า “ตัวใครตัวมัน” จนลูกเศรษฐีหลายคนใช้แต่เงิน ซื้อข้าวของสินค้าแบรนด์เนม และอาจเลยเถิดถึง “ความสนุกเถิดเทิง!” แบบไม่สนใจความเป็นผู้หญิงเลย การศึกษาซึ่ง “สถาบันการศึกษา” นั้น นับว่าเป็นสถาบันที่สองที่มีความสำคัญรองจากสถาบันครอบครัว แต่ก็ต้องยอมรับว่า “สองสถาบัน” นั้นแทบจะเรียกได้ว่า “ล้มเหลว!” โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าครอบครัวที่ไม่ค่อยสนใจชีวิตความเป็นคู่ หรือมีเวลาสนทนาพูดคุย เฝ้าดูพฤติกรรมของเด็ก และโรงเรียนนั้นครูก็มีหนี้สินมากมายมีอาชีพ “ขายสินค้า” แบบขายตรง จนอาชีพครูนั้นเป็น “อาชีพเสริม” เท่านั้น แต่ทั้งนี้ ครูที่เสียสละยังพอมีอยู่ แต่เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ครูยังมีเงินเดือนน้อย ยังต้องอาศีย “หนี้นอกระบบ” ที่ร้อยละ 20-30 รายวัน จนทำให้ครูไม่มีเวลาและสมาธิที่จะเตรียมการสอนและคลุกคลีกับเด็กนักเรียน นอกเหนือจากนั้น สถาบันการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา จนเลยเถิดถึงระดับอุดมศึกษาหรือ “ระดับมหาวิทยาลัย” ที่เยาวชนที่เข้าศึกษาเรียนระดับมหาวิทยาลัยต่างจะบอกผู้ปกครองพ่อแม่ว่า “ฉันโตแล้ว!” จึงยากแก่การควบคุม “วงการศาสนา” ก็เช่นเดียวกัน ที่มีทั้ง “พระดี” และ “พระเลว” เช่นเดียวกันที่อาศัยผ้าเหลืองเท่านั้นเป็นช่องทางทำมาหากิน โดยมีทั้งพระวัดที่อยู่ในเมืองและพระวัดป่า แต่พระวัดป่านั้นน่าจะมีศรัทธาที่ผู้คนเคารพนับถือจำนวนมาก ที่เคร่งครัดทั้ง “ปริยัติธรรม” และ “ปฏิบัติธรรม” ไม่ต้องดูอื่นไกล “วัดพระธรรมกาย” ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า “เจ้าอาวาส” วัดนั้น “ทุจริตคดโกง” และยังคงค้นหาตัวยังไม่เจอ แถมมีพระสงฆ์และศิษยานุศิษย์หรือฆราวาสจำนวนมากที่คอยกีดกันมิให้เจ้าหน้าที่เข้ามาค้นหาเจ้าอาวาสวัด ซึ่งต้องยอมรับว่า “ประชาชนยังสงสัยเลยว่าเจ้าอาวาสหายไปไหน” หรือ “จะจับตัวได้หรือไม่” เรียกกันภาษาชาวบ้านได้เลยว่า “ปัญหาสังคม” มีเยอะแยะหมักหมมและกระจายไปทั่วประเทศทุกระดับชั้น แต่ที่แน่นอนอีกกรณีหนึ่งคือ “คนไทยไม่รักชาติ” และ “อาจคิดว่าไม่ใช่คนไทย” ...คงต้องมาว่ากันต่อสัปดาห์หน้าครับ!