สถาพร ศรีสัจจัง ใครก็ล้วนรู้ร่วมกันอยู่แล้วว่า โลกหรือดาวสีน้ำเงินดวงนี้ กว่าจะพัฒนาตามขั้นตามตอน ตามการเคลื่อนเปลี่ยนที่เกิดจากความขัดแย้งทางกายภาพทั้งภายในตัวเอง และ ต่อปัจจัยภายนอก ทั้งหลาย ทั้งปวง ต้องผ่านเวลามานานแสนนาน นับกัปกัลป์เอาทีเดียวเชียวแหละ รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงไม่ต้องนำมาแจงนับ อธิบายในที่นี้ให้น่าเบื่อดอกกระมัง ใครอยากรู้ อยากเห็น ให้ลึกละเอียด แค่ลงแรงคีย์หัวข้อเข้าไปที่อากู๋ แล้วคลิ๊กเบาๆแค่ทีเดียวก็ย่อมรู้ได้เป็นพะเรอ วันนี้เราลองมาพูดเรื่อง “เปลือกโลก” กันแค่เรื่องเดียว คือ เรื่องของดาวโลกส่วนที่เป็นผิวดินนั่นแหละ! ส่วน “ผิวดิน” ที่พัฒนากลายมาเป็น “ที่ดิน” ซึ่งมนุษย์หลังยุค “ชุมชนบุพกาล” (primitive commune) ยึดครองถือสิทธิ์เป็นของตน (ทั้งในรูปสิทธิโดยรัฐ และโดยปัจเจก) ตาม “รูปการจิตสำนึกใหม่” ซึ่งเป็นภาพสะท้อนทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ที่เกิดจาก “รูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิต” แบบใหม่ที่หลายนักวิชาการเรียกกันว่า “ระบบศักดินา” (feudalism) และพัฒนารูปแบบการถือครองเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบันที่สังคมมนุษชาติกระแสหลักถูกครอบงำด้วยระบบความสัมพันธ์ทางการผลิตที่นักเศรษฐศาสตร์และผู้เกี่ยวข้องเรียกว่า “ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม” (Capitalism) ในระบบทุนนิยมนี่เองที่ “ที่ดิน” กลายเป็น “ทรัพย์สินเอกชน” (Private property)ที่สำคัญยิ่งทรง “มูลค่า”เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นองค์ประกอบของสิ่งซึ่งเรียกว่า “ทุน” ในการสะสมพลังอำนาจเพื่อการสร้าง “กำไร” ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมดังกล่าว นอกจากความหนาแน่นที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลกแล้ว ระบบแบบ “มือยาวสาวได้สาวเอา” (ภายใต้คำโฆษณาของระบบที่ประกาศลั่นอย่างหนักแน่นว่า “ทุกคนมีสิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน”!) มีส่วนอย่างสำคัญยิ่ง ที่ทำให้ยิ่งนานเข้า “ที่ดิน” ส่วนใหญ่ของรัฐชาติแบบทุนนิยมทั้งหลาย ก็ไหลไปกองอยู่บนตักของบรรดา “นายทุน” ใหญ่ทั้งหลาย ยิ่งระบบทุนยิ่ง “ผูกขาด” มากขึ้นเท่าใด ความตายของ “รายย่อย” ในทุกลักษณะก็ยิ่งล่มสลายเร็วขึ้นเท่านั้น! ระบบทุนที่โดยเนื้อในแล้วมีเป้ามุ่งอยู่ที่การแสวง “กำไรสูงสุด” (นอกเหนือการควบคุมโดยนักบุญผู้มีเจตนาดีคนไหน ไม่ว่าจะชื่อ “ลุงตู่” หรือชื่อ “ธนาธร” !) ระบบทุนนั้นไม่มีหัวใจหรือสำนึกใดๆนอกจากการทำกำไรสูงสุด ดังนั้นจึงย่อมไม่เคยคำนึงถึงความพินาศของโลกและมนุษยชาติ ปีศาจหรือซาตานนั้น ไม่ว่าจะสวมหน้ากากนักบุญชื่ออะไรมาแสดงตัว เนื้อในก็ย่อมเป็นปีศาจอยู่วันยังค่ำ ตัวเลขแท้จริงเกี่ยวกับสิทธิในการถือครองที่ดินของปัจเจกชนรายย่อยในสังคมแบบนี้ จึงแสดงความเป็นจริงให้เห็น เช่น กรณีสังคมไทยวันนี้เป็นตัวอย่าง,คือรายย่อยล่มสลายกลางความรุ่งเรืองของกลุ่มทุนเล็กๆกระจิริดบนยอดปิระมิดของสังคม เหมือนที่นักทฤษฎีสังคมบางคนเขาว่าไว้ชัดเจนว่า เมื่อใดก็ตามที่ “นายอำนาจ” แต่งงานกับ “นางสาวเงิน” เมื่อนั้นแหละชนหมู่มากผู้ลงแรงในการผลิตตัวจริงในสังคมจะถึงแก่การแหลกลาญ! วันนี้นาย “อำนาจ” ในสังคมไทยอยู่กินกับนางสาว “เงิน” เรียบร้อยสมบูรณ์โรงเรียนจงหัวแล้วหรือยังละ? ใคร?พรรคการเมืองพรรคไหน?ที่กล้าหาญชาญชัยจริง? ที่ทำท่าว่าจะนำเสนอร่างกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่ก้าวหน้า ที่มีคุณต่อมนุษย์รายย่อยที่ยากจน ที่ไร้(หรือถูกทำให้ไร้)ที่ดินทำกิน ต่อรัฐสภาไทย(องค์ประกอบส่วนหนึ่งที่สะท้อนว่านาย “อำนาจ”ได้แต่งงานกับนางสาว “เงิน” เรียบร้อยแล้ว) มีหรือที่มวลชนคนข้างมากจะไม่สนับสนุน? อย่างน้อยคนที่อยากรู้ตัวเลขจริงเกี่ยวกับสภาพการถือครองที่ดิน (ที่มีอยู่แสนจะน้อยนิด)ในเมืองไทยจะได้ไม่ต้องตีความเอาเองว่า เมื่อถึงวันนี้กลุ่มทุนของคุณธนินทร์แห่งซี.พี.ถือครองอยู่เท่าไหร่?มากหรือน้อยกว่ากลุ่มทุนน้ำเมาของคุณเจริญ อยู่เท่าไหร่?ฯลฯ หรือธนาคารของรัฐอย่าง ธกส.รับจำนองที่ดินและยึดที่ดินของชาวบ้านไปแล้วเท่าไหร่?ธนาคารพานิชย์อื่นๆละเกี่ยวของกับที่ดินของชาวบ้านอย่างไรบ้าง ฯลฯ ส่วนการถือครองที่ดินของพวก “นายอำนาจ” ทั้งที่อยู่ในรัฐสภา และ ทั้งที่เป็น “อีแอบ” ทั้งหลาย คงไม่ต้องไป ออกกฎหมายบังคับพวกเขาก็ได้ สักพักพวกเขาก็คงเปิดโปงกันเองตามธรรมชาติของพวกเขา ให้ชาวบ้านได้รับรู้อย่างที่เห็นๆกันอยู่ในปัจจุบันนั่นไง ก็ทั้งกรณีที่ดินหลายพันไร่ของแม่คุณธนาธร และของคุณปารีณานั่นแหละ!!!