แสงไทย เค้าภูไทย กำลังเป็นที่โจษจันกันเรื่องภาษีที่ดินใหม่ที่ทำให้เจ้าของที่ดินรกร้างต้องหันมาทำประโยชน์ด้านเกษตรกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่ดินใหม่ จนมีการล้อเลียนกันว่ามะนาวจะล้นตลาด เพราะเจ้าที่ดินพากันปลูกเลี่ยงภาษี เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2563 อันป็นวันเริ่มต้นของการใช้ พระราชบัญญัติ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง2563 ฉบับใหม่ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินใหม่นี้ อันที่จริงก็คือฉบับเก่าที่เลื่อนประกาศใช้มาถึง 3 ปีแล้ว เพราะเจ้าที่ดินส่วนใหญ่มีอิทธิพลสามารถกดดันให้ฝ่ายรัฐทำตามใจตนเองได้ จุดประสงค์ในการออกพ.ร.บ.ฉบับนี้ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลดความเหลื่อมล้ำให้สังคม ลดปัญหาการกักตุนเก็งกำไร และกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดิน สามารถจำแนกตามประเภทของทรัพย์สินเป็น 3 ประเภทคือ ที่ดินเกษตรกรรมหรือสิ่งปลูกสร้างเกษตรกรรมอย่างเช่นเล้าไก่ของคุณปารีณา ไกรคุปต์ เป็นต้น เก็บต่ำสุด คือมูลค่า(ประเมิน)ไม่เกิน 75 ล้านบาทเก็บ 0.01% ของมูลค่าหรือ 7,500 บาทต่อปี ส่วนที่เกิน 75 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาทเก็บ 0.03% เกิน 100- 1,000 ล้านบาทเก็บ 0.05% 1,000 ล้านบาทเก็บ 0.1% ที่ดินที่อยู่อาศัยและสิ่งปลูกสร้างจะยกเว้นให้แก่บ้านหลังแรก ที่มีราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท เกินกว่านั้น หรือหลังที่สอง จึงจะคิดภาษี ร้อยละ 0.02 เท่านั้น ซึ่งไม่มากเลยหากเป็นบ้านที่มีราคาประเมินไม่สูงนัก อย่างเช่นบ้านพักตากอากาศชายทุ่งประเมินราคา 300,000 บาท ก็จะเสียภาษีแค่ปีละ 60 บาทเท่านั้น แต่ที่เป็นอยู่คือ ก็คือพวกแลนด์ลอร์ดทั้งหลายที่มีเป็นร้อยๆพันๆหรือหมื่นๆไร่ หรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีแลนด์แบงก์มากๆ ทำเลดี มูลค่าเป็นร้อยๆพันๆล้านบาท พวกนี้อยู่ในกลุ่มที่ 3 คือที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม กลุ่มนี้เก็บแรงหน่อย เพราะทำกำไรได้มาก คือ มูลค่า 50 ล้าบาทเก็บ 0.3% 50-200 ล้านเก็บ 0.4% 200-1,000 ล้านเก็บ 0.5% 1,000-5,000 เก็บ 0.6% 5,000 ล้านขึ้นไปเก็บ 0.7% ที่รกร้างว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ คิดอัตราภาษีเริ่มต้นที่ 0.3% และเก็บเพิ่ม 0.3% ทุกๆ 3 ปี ข้อนี้แหละที่ทำให้ต้องรีบนำมาทำประโยชน์ โดยเฉพาะปลูกพืชผล ต้นไม้ ไร่สวน เพื่อลดภาระภาษี โดยไม้ที่ปลูกจะเป็นประเภท ขึ้นง่าย ตายยาก ดูแลง่าย สามารถเก็บเกี่ยวผลได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องปลูกใหม่ เก็บเกี่ยวมาเป็นรายได้เลี้ยงดูคนดูแลสวนได้ ในอนาคต ราคามะนาวกับกล้วยน้ำว้าจะถูกมากๆ เพราะเจ้าที่ดินทั้งหลายหันมาปลูกกันเพื่อเลี่ยงภาษี ภาษีที่ดินนี้ ออกมา ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มีการนำมาเปรียบเปรยกับที่ดินของเจ้าสัวทั้งหลายว่าคนนี้มีเท่านั้น คนนั้นมีเท่านี้ โดยเฉพาะเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่มีมากเป็นอันดับหนึ่ง อันที่จริงที่ดินของบรรดาเจ้าสัวเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นแลนด์แบงก์ รอการพัฒนาเชิงพาณิชย์ เพราะแต่ละเจ้าสัวล้วนเป็นพ่อค้า คงจะไม่มีปัญหาเรื่องบิดเบี้ยว เลี่ยงภาษีเหมือนพวกเจ้าของที่มูลค่าระดับ 50 ล้าน 100 ล้านบาท เพราะเมื่อนำไปพัฒนาแล้ว ได้กำไรคุ้มค่า คือมากกว่าภาษีที่เสียไปมากมายหลายร้อยเท่าตัว จะมีก็แต่พวกสะสมที่ดิน อย่างพวกข้าราชการ นายทหาร นายตำรวจ ที่ซื้อไว้รอความเจริญ เก็งกำไร หรือซื้อเป็นมรดกลูกหลาน ที่จะรู้สึกว่าเดือดร้อน จึงต้องนำมาทำไร่ทำสวนกันยกใหญ่ เพื่อเลี่ยงภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่า สำหรับบรรดาเจ้าสัวทั้งหลาย ถ้ามองในมุมกลับว่า หากไม่มีเจ้าสัวเหล่านี้ ทุนจีนจะกลืนกินที่ดินทรัพย์สิน กิจการและถ่ายเทเงินไทยกลับบ้านเท่่าไร? คงไม่ลืมข่าวที่ออกมาบ่อยๆว่า มีข้อมูลการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ ที่มีตัวเลขถือครองที่ดินแผ่นดินไทยแล้วกว่า 100 ล้านไร่ ทั้งในรูปใช้นอมินีถือครองแทนและในรูปเช่า 99 ปี พวกเจ้าสัวเกิดบนแผ่นดินไทย มีลูกมีหลานเป็นคนไทยกันหมดแล้ว ทำมาหากินร่ำรวยแค่ไหน ก็หมุนเวียนทำธุรกิจ การค้าอยู่ในเมืองไทย ตอบแทนสังคมให้เห็นกันอยู่ ไม่ส่งเงินกลับจีนเหมือนพวกจีนใหม่ที่ทำธุรกรรมการเงินซ่อนรูปในลักษณะโพยก๊วน พวกเจ้าสัวไทยเหล่านี้ คือแนวต้านการครอบครอง ครอบงำเศรษฐกิจไทยของทุนจีนที่ทะลักเข้ามารอบชายแดน ถ้าพวกเขาไม่ถือครองที่ดินเหล่านั้น จะปล่อยให้ทุนจีนครอบครองแทนหรือไร? ในยามเศรษฐกิจย่ำแย่เช่นนี้ ชาวไร่ชาวนาทนความแร้นแค้น หนี้ท่วมหัวไม่ไหว ปล่อยที่ดินให้ทุนจีนกันง่ายๆ จะให้เป็นแบบนั้นหรือ ?