งานด้านวัฒนธรรมเป็นรากฐานที่สุดของการปฏิรูปประเทศ ภารกิจการปฏิรูปประเทศที่ทุกภาคส่วนต้องทุ่มเทมากที่สุดคืองานด้านวัฒนธรรมบางท่านอาจจะนึกว่า งานปรับปรุงรัฐธรรมนูญสิสำคัญที่สุด เพราะเกี่ยวกับการเลือกตั้ง บางท่านอาจจะนึกว่า งานด้านต่อต้านคอร์รัปชั่นสำคัญที่สุด บางท่านอาจจะนึกว่าการปฏิรูประบบราชการสำคัญที่สุด ฯลฯ มันสำคัญทุกเรื่องแหละ แต่แก่นปัญหาจริง ๆ อยู่ที่คน อยู่ที่ความคิดจิตสำนึกของคน ระบบอะไรต่างนานาในสังคมไทยนั้น มิใช่ว่าไม่ดีหรือผิดพลาดอะไรมากมาย แต่คนในระบบต่าง ๆ นั้นเองต่างหากที่บกพร่อง ผิดพลาด หรือทำผิด การปฏิรูปประเทศ โดยปฏิรูประบบต่าง ๆ นั้น จึงต้องเกิดการปฏิรูปความคิดจิตสำนึกของพลเมืองไทยส่วนใหญ่ก่อน การปฏิรูปความคิดจิตสำนึกของพลเมืองไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ? มันจะสำเร็จได้ก็เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง การปรับปรุง การแก้ไข สิ่งที่เกี่ยวกับ ”วัฒนธรรม” หรือ วิถีชีวิตของพลเมืองไทย ยกตัวอย่างให้เกี่ยวกับสื่อมวลชนหน่อยก็เช่น ความเคยชินในการขายพาดหัวข่าวให้หวือหวาตื่นเต้นหรือกระทั่งเกินจริงไป เรื่องนี้ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขกันทั้งด้านมวลชนผู้ซื้อสื่อ และคนทำสื่อ เรื่องการเปิดพื้นที่ให้กับงานศิลปวัฒนธรรมที่จรรโลงสร้างสรรค์วัฒนธรรมดีงาม สร้างความก้าวหน้าของภูมิปัญญา สร้างความสามัคคี ฯลฯ เรื่องนี้ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขกันทั้งฝ่ายผู้ทำสื่อ และมวลชนผู้เสพสื่อ สื่อมวลชนจะสร้างสรรค์สังคม สร้างสังคมที่ “แตกต่างแต่ไม่แตกแยก” ให้เข้มแข็งขึ้นได้อย่างไร เรื่องนี้เราคงตอบเองฝ่ายเดียวไม่ได้ จำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันผลักดัน และการที่ข่าวจะถูกปรากฏออกมาอย่างไร มีการปรุงแต่งมากน้อย ดีเลวอย่างไร ก็เกิดจากคนที่ทำหน้าที่เขียนข่าว พาดหัวข่าว เขียนคอลัมน์วิจารณ์ ฯ คนเหล่านี้เป็นคนเล็กคนน้อยเหมือนคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่ก็นับว่าเป็นคนที่ส่งผลสะเทือนต่อสังคมด้วยเหมือนกัน เพราะข่าวที่ตีพิมพ์แล้ว ผู้คนทั่วไปมักจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องอย่างนั้นจริง ๆ บทความวิพากษ์วิจารณ์ข่าวการเมือง แม้มิใช่ทุกคนที่อ่านจะเชื่อ แต่ก็ย่อมจะมีเชื่อตามที่คนเขียนเขียนออกมาเหมือนกัน สังคมก็เลยเรียกร้องสื่อมวลชนสูง โดยเฉพาะบุคคลระดับที่รับผิดชอบการนำเสนอข่าว ผู้รับผิดชอบสื่อมวลชนควรจะมีประสบการณ์มาก และต้องความรับผิดชอบต่อสังคม ผู้รับผิดชอบสื่อต้องมีมโนธรรมของสื่อมวลชน คือต้องจำแนกผิดชอบชั่วดีได้ เพราะถ้าแยกผิดชอบชั่วดีไม่ได้แล้ว จะรักษาศีลธรรมหรือจริยธรรมได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าในยุคที่เสรีนิยมกันมากอย่างขณะนี้ มาตรฐานความผิดชอบชั่วดี ก็มีความหลากหลายเสียแล้ว เมื่อมันหลากหลายเสียจน ไม่มีใครกล้าตัดสินว่านี่คือมาตรฐาน ความผิดชอบชั่วดีก็จะไม่ใช่เสาหลักของสังคมอีกต่อไป นี่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความสันติสุขของสังคม