สถาพร ศรีสัจจัง ดูเหมือนนักคิดทางสังคมตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันล้วนได้ข้อสรุปร่วมกันแล้วว่า “ความรุนแรง” (Violence) ที่เกิดขึ้นต่อมนุษยชาตินั้นมีที่มา 2 ทางใหญ่ๆ ทางหนึ่งเกิดจากวิกฤติของปรากฏการณ์ธรรมชาติ (ที่ส่วนหนึ่งมีเหตุเกิดจากการกระทำของมนุษย์) และเกิดจากการกระทำของมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันเอง ทั้งที่โดยเจตนา และไม่เจตนา ทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม! ความรุนแรงแบบหลังนี่แหละ ที่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา นักคิดคนสำคัญทั้งหลายล้วนเชื่อกันว่า “พัฒนาการ” แห่ง “การเรียนรู้” ของมนุษยชาติเองจะช่วยแก้ปัญหาให้สลายหายไปได้ในท้ายที่สุด ดังนั้น ภาพฝันแบบ “สังคมยูโทเปีย” /“สังคมที่คนไม่กดขี่ข่มเหงกัน”/“สังคมที่ปราศจากความเหลื่อมล้ำ”/ “สังคมที่อยู่ร่วมกันด้วยความรักและการแบ่งปัน”/หรือ “สังคมที่ไร้ความรุนแรง” ฯลฯ จึงถูกนำเสนอแบบร่างขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยนักคิดคนสำคัญๆ หรือ “ศาสดา” คนแล้วคนเล่า เกือบทั้งหมดทั้งสิ้นของความมุ่งหวังในการ “พัฒนาสังคมมนุษย์” ให้ก้าวสู่สังคมที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสงบสุขนั้น มักมีวิธีการจัดการใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือมุ่งไปที่การพัฒนา “จิต” กับการพัฒนาภาพรูปธรรมของความสัมพันธุ์ระหว่างคนกับคนโดยการสร้าง “กฎ” แห่งการอยู่ร่วมเป็นสังคมมนุษย์ขึ้น รูปแบบแรก คือการมุ่งไปที่การพัฒนา “จิต” นั้นมักสะท้อนออกมาในรูปของสิ่งที่เรียกว่า “ศาสนา” หรือลัทธิความเชื่อต่างๆ แนวคิดนี้ก็คือภาพของสิ่งที่รู้จักกันในชื่อ “จริยธรรม”/ “คุณธรรม” หรือ “วัฒนธรรมประเพณี” นั่นเอง วิธีการในเส้นทางนี้มักใช้สิ่งที่เรียกว่า “บาป” และ “บุญ” เป็นเครื่องกำหนดคุณและโทษแก่บุคคลในสังคมที่ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ส่วนแบบหลัง มักปรากฏชัดในรูปของสิ่งที่เรียกว่า “กฎหมาย” ซึ่งหมายถึงข้อบังคับที่ “คนของสังคมนั้น” มี หน้าที่และสิทธิที่จะได้รับ และ โทษที่จะต้องได้รับถ้าไม่ปฏิบัติหรือทำผิดกฎ ส่วนสิ่งที่เรียกว่า “ความรุนแรง” นั้น มีนิยามความคิดความเชื่อที่แตกต่างกันมาโดยตลอด ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า ความรุนแรงนั้นเป็น “ธรรมชาติของมนุษย์” /“เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์”/หรือ “เป็นเรื่องของคนแต่ละคน” ฯลฯดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่สังคมต้องควบคุมแก้ไขเป็นเรื่องๆหรือเป็นบุคคลๆไป ฝ่ายนี้มักเชื่อการแก้ปัญหาเรื่องความรุนแรงโดยการใช้สิ่งที่เรียกว่า “กฎหมาย” “การควบคุม” หรือ “การลงฑันท์”ฯลฯ ขณะที่อีกฝ่ายเชื่อว่าความรุนแรงไม่ใช่ “ธรรมชาติของมนุษย์” ล้วนเกิดขึ้นเพราะ “สิ่งแวดล้อมและระบบสังคม” คือสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน/สังคมที่ความเหลื่อมล้ำสูง/สังคมที่ส่งเสริมความโลภ/สังคมที่ขาดการขัดเกลาทางศีลธรรมจริยธรรม/หรือสังคมที่ส่งเสริมระบบอำนาจนิยม ฯลฯ ฝ่ายนี้มักเชื่อการแก้ปัญหาความรุนแรงทางสังคมด้วยกระบวนการหรือวิธีการที่ศาสนาพุทธเรียกว่า “อหิงสธรรม” หรือจะต้องสร้างจิตใจที่กล้ารักและไม่เบียดเบียนให้เกิดขึ้นให้ได้ในสังคมนั้นๆ มีเอกสารเล่มสำคัญๆเล็กๆเล่มหนึ่งที่อยากแนะนำให้ผู้สนใจเรื่อง “ความรุนแรงทางสังคม” ได้หามาอ่าน เพราะอ่านง่าย สื่อตรงที่ความรู้สึกอย่างเป็นรูปธรรม เขียนโดย “สาวก โยฮัน เทวนันทะ” นักพรตนิกายอังกฤษชาวสิงหฬ เป็นผู้ดีพื้นเมืองชาวลังกา เขาเขียนเล่าถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่คนหนุ่มสาวชาวลังกาถูกเข่นฆ่าล้มตายไปเป็นจำนวนร้อยคนในคราวเดียวเมื่อปีพ.ศ. 2514 (ก่อนเหตุการณ์ล้อมฆ่านักเรียนนักศึกษาในเหตุการณ์ “6 ตุลาฯ” พ.ศ. 2519 ของไทยไม่นานนัก) เอกสารชิ้นเล็กๆเล่มนี้มีชื่อในพากษ์ไทยว่า “ลังกาวิกฤติ : วันสังหารประชาชน” แปลจากภาษาอังกฤษโดยอาจารย์วิทยากร เชียงกูร จัดพิมพ์เผยแพร่โดยมูลนิธิโกมล คีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนธันวาคม 2521 ไม่แน่ใจว่าจะมีการพิมพ์ซ้ำอีกหรือเปล่า ถ้าอยากอ่านก็ลองติดต่อมูลนิธิดังกล่าวดู จะลองยกข้อความสั้นๆจากหนังสือมาให้ดูสัก 2 ตอนก็แล้วกัน เช่น “ถ้าจะกล่าวโดยสรุปแล้วก็ต้องว่า ระบบทั้วหมดเลว/ไม่ว่าในด้านนิติธรรม หรือระเบียบปฏิบัติของสังคม/ ระบบย่อมครอบงำปัจเจกบุคคล/การครอบงำบุคคลโดยระบบนั้นวางอยู่บนพื้นฐานของการใช้อำนาจรุนแรง/มันเป็นความรุนแรงที่แฝงเร้นและแยบยล/จนคนทั่วไปไม่สังเกตเห็นว่านั่นเป็นความรุนแรง” หรือ “ในสังคมของเรานี่แหละ/มีการโกง การใช้ความรุนแรง โดยถูกต้องตามกฎหมาย/ในยามปกติ บุคคลผู้มีอำนาจ เป็นที่เชื่อถือ/ทั้งฝ่ายศาสนจักรและอาณาจักร/ต่างพากันปล้นสะดมอย่างโจ่งแจ้ง/อย่างรุนแรง/อย่างต่อเนื่องกัน/ทำให้ประชาชนต้องเลือดตกยางออก/ภายใต้สิทธิเสรีอันสมบูรณ์/ไม่มีใครเอาผิดเขาได้/...” และ “ ในวัฒนธรรมของเรา/และของโลก/ความรุนแรงเป็นผู้ปกครอง/ไม่ว่าในอเมริกา ในยุโรป/ในสหภาพโซเวียต/ในจีน/ในเวียดนาม ทั้งเหนือและใต้/ในอินเดีย ปาดีสถาน พม่า...” ช่วยกันอ่านและเผยแพร่ความคิดจากหนังสือเช่นนี้ให้มากๆกันหน่อยเถอะ บางทีเหตุการณ์แบบ “วันมาฆะเลือด” ที่รุนแรงโหดร้าย อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดใน “เมืองพุทธ” อย่างเมืองไทย ที่เพิ่งเกิดขึ้น ณ เมืองนครราชสีมาในปี 2563 จะได้ไม่ต้องเกิดซ้ำอีก...!!!!