สถาพร ศรีสัจจัง คำศัพท์ “Mask” น่าจะเป็นคำภาษาอังกฤษที่มีปัญหาในการใช้เป็นภาษาไทยคำหนึ่งในสังคมไทยปัจจุบัน ค่าที่มีการใช้กันเกร่อใน 2 แง่ แง่ที่มากสุด (ก่อนหน้าจะเกิดโรคไวรัสโควิด-19) คือแง่ที่เกี่ยวกับกิจกรรมการรักษาป้องกันหรือการเสริมความงาม(ปัจจุบันทำกันทั้งฝ่ายท่านหญิงและท่านชาย)ที่หมายถึงการสวมหน้ากากพอกรักษาผิวหน้า (Face mask) ส่วนอีกแง่ ที่หมายถึงหน้ากากป้องกันเชื้อโรคหรือหน้ากากอนามัย(Health Mask)นั้นมักจะเกี่ยวข้องและรู้จักกันอยู่ในวงบุคลากรทางการแพทย์เป็นสำคัญ ภายหลังชาวเมืองต่างๆที่มีฝุ่นพิษจำพวก PM 2.5 หนาแน่น เช่น กรุงเทพฯ/เชียงใหม่ และอีกหลายเมือง ก็ดูเหมือนจะรู้จักเจ้าสิ่งนี้มากขึ้น ที่ประหลาดก็คือในวงที่เกี่ยวกับความงามมักจะออกเสียงคำนี้ว่า “มาส์ก” หรือการ “มาส์กหน้า”! กันอย่าง กว้างขวาง ในขณะที่การออกเสียงของเจ้าของภาษา(ฟังมาว่า) ถ้าเป็นอังกฤษจะออกเสียง “มาสค์” ส่วนอเมริกันชนมักจะออกเสียงเป็น “แมสค์” ในเมืองไทยนั้น เมื่อไหร่ที่ต้องการออกเสียงคำนี้เพื่อให้หมายถึง “หน้ากากป้องกันเชื้อโรค” ก็มักออกเสียงว่า “แมสส์” เป็นส่วนใหญ่ (มีเสียง “เอส” ส่งท้าย/มักไม่มีเสียง “k” ปรากฏ) ที่ออกเสียง “มาสค์” ตามที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติก็มีเช่นกันแต่น่าจะน้อยกว่าคำแรก แต่เมื่อถึงวันนี้ ดูเหมือนว่าคำ “Mask” ในสังคมไทยจะกลายเป็น “คำทางการเมือง” ( political wording) ไปเสียแล้ว! มีใครหลายคนบอกว่า สิ่งที่มาพร้อมกับมหาพายุที่เรียกว่า “โควิด-19” สำหรับ “ชนชั้นปกครอง” หรือบรรดาสิ่งที่เรียกว่า “รัฐบาล” ทั่วโลกทั้งหลายนั้น มีอย่างน้อย 2 ประการ คือ “วิกฤติ” กับ “โอกาส” วิกฤติที่เปลี่ยนเป็นโอกาส ที่ว่าก็คือ หากสามารถนำประเทศฝ่า “วิกฤติ” นี้ไปได้ มวลมหาชนก็จะประจักษ์ถึง “ฝีมือ” ในการบริหารงานบ้านเมือง และอาจจะเห็น “สปิริต” ด้านอื่นๆอีกหลายด้าน เช่น ด้านจริยธรรม ด้านความเข้มแข็ง และด้านความมีสติปัญญา เป็นต้น “ความสามารถ” ที่ว่านี้หมายรวมถึง “ความสามารถเอาชนะ” เจ้าไวรัสร้ายนี้ ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ความมีวิสัยทัศน์ ความทันการ ความทุ่มเท การทำงานหนักแบบ “กล้าเสียสละกล้าต่อสู้” และ ความโปร่งใสจริงใจในการนำคณะผู้บริหารของตนเข้าร่วมฝ่าฟันแก้ปัญหา ฯลฯ ดูเหมือนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การนำของท่านประธาน สี เจี้ยน ผิง จะได้รับความรู้สึกเช่นนั้นจากประชาชนของเขาพอสมควร เป็นต้น แต่สำหรับรัฐบาล(เลือกตั้ง)แห่งประเทศไทยภายใต้การนำของนายกฯลุงตู่ สิ่งที่มาพร้อมกับมหาวายุ “โควิด-19” ครั้งนี้ ดูเหมือนจะมีเพียงประการเดียว คือ “วิกฤติ”! วิกฤติอย่างไร? เริ่มตั้งแต่คลื่นความไม่พอใจ(จนกลายเป็นเกลียดชัง?)ของประชามหาชน(โดยเฉพาะใน “social”) ในการบริหารงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในแง่ ความไม่มีสมรรถภาพ ความไม่ทันการ ความไม่ฉลาด ฯลฯ และท้ายสุดคือความไม่โปร่งใส คือฉ้อฉลคดโกงนั่นแหละ! โดยเฉพาะกรณี “หน้ากากอนามัย” (Mask)!! หลายใครบางวงในสังคมไทยทั้งในและนอกวง Social จึงสรุปและให้ฉายากันในเบื้องต้นต่อรัฐบาล(เลือกตั้ง)ภายใต้การนำของนายกฯลุงตู่ผู้เคร่งเครียดในบัดนี้ว่าเป็น “รัฐบาล(สวม)หน้ากาก” ทั้งนี้ทั้งนั้นคงหมายถึง “เนื้อใน” หลายประการของรัฐบาลนี้ แล้วแต่ใครจะพิจารณาวิเคราะห์วิจารณ์กันไปว่า “หน้ากาก” (Mask) ในที่นี้จะกินความหมายไปถึงไหนอย่างไรบ้าง? แต่ที่แน่ๆ(ที่เห็นตอนนี้)ก็คือ บรรดาผู้แทนฯทั้งเก่าใหม่จากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคเก่าแก่พรรคสำคัญ คือพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มก่อขบวนถล่มรัฐบาลของตัวเองโดยการชูนโยบาย “ไม่พายเรือให้โจรนั่ง” กันแล้วอย่างกว้างขวาง แบบไม่มีความเกรงใจท่านหัวหน้าพรรค นักเขียนการ์ตูนการเมืองเก่า “อู้ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่กำลังถูกถล่มในฐานะเป็นผู้บริหาร “หน้ากากอนามัย” ที่ล้มเหลว(โซเชียลเขาว่าอย่างนั้น) แต่ดูเหมือนท่านจะยังปลื้มในฝีมือตัวเองอยู่ ชนิดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่าหน้าชื่นตาบานโดยตลอด ขณะที่โรงพยาบาลใหญ่บางแห่งถึงขนาดขึ้นป้ายขอบริจาคหน้ากากอนามัยกันแล้วก็เถอะ! แม้สักนิดเดียว ส่วนกรณีท่านรัฐมนตรีคนใกล้ชิดของนายกฯลุงตู่ รอ.ธรรมมนัส พรหมเผ่า จากเมืองสาวสวยกว๊านพะเยา (ดูคู่หมั้น/ภริยาคนที่ 2 ของท่านที่เป็นสาวจากอำเภอดอกคำใต้ ที่มีตำแหน่งนางสาวไทยปี 2559 การันตีเป็นตัวอย่างเอาเถอะ) ผู้ได้รับคะแนนโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจจากสภาฯน้อยที่สุดนั่น คงไม่ต้องพูดถึงกันแล้วกระมัง ดูเหมือนพวกใน “Social” เขาพิพากษากันไปเรียบร้อยแล้ว!!!!