ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ... กำลังเป็นประเด็นปัญหาที่คนไทยต้องศึกษาข้อมูลให้ชัดเจน อย่าให้กลายเป้นปัญหา “น้ำผึ้งหยดเดียว” ทางด้านสื่อมวลชน นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ให้ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์สรุปได้ว่า 1.กฎหมายนี้ให้มีการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยให้มีตัวแทนจากภาครัฐ หรือหน่วยราชการเข้าไปเป็นกรรมการด้วย ขณะที่ตัวแทนที่มาจากภาคสื่อมวลชนเองก็สุ่มเสี่ยงต่อการครอบงำโดยผู้มีอำนาจทางการเมืองในแต่ละยุคสมัย พูดง่ายๆ คือ สภานี้สามารถถูกการเมืองแทรกแซงได้โดยง่าย นอกจากสภานี้จะถูกแทรกแซงได้โดยง่ายแล้ว ยังจะมีอำนาจในการลงโทษ (ปรับ 5 หมื่น - 1.5 แสนบาท) สื่อมวลชนที่ (ถูกกล่าวหาว่า) ละเมิดจริยธรรมวิชาชีพ ซึ่งประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก เขาใช้วิธีให้สื่อกำกับดูแลกันเองในด้านจริยธรรมและการลงโทษ จะใช้วิธีการลงโทษทางสังคมแทนที่จะใช้การลงโทษทางกฎหมาย 2. สภาฯ นี้ยังมีอำนาจในการออกและเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนกับคนทำสื่อทั้งหลาย ซึ่งในทางสากลแล้ว การออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จะใช้กับวิชาชีพที่ต้องผ่านการศึกษาอบรมมาโดยเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร ทนายความ เป็นต้น ในขณะที่วิชาชีพสื่อมวลชน เป็นวิชาชีพที่เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถเข้ามาประกอบวิชาชีพนี้ได้ เนื่องจากต้องการคนที่มีความคิดและทักษะความรู้ที่หลากหลาย แต่ก็ต้องทำงานภายใต้กรอบจริยธรรมวิชาชีพ ที่สภาวิชาชีพที่เป็นอิสระ (ไม่ได้ตั้งขึ้นตามกฎหมาย) เป็นผู้กำหนด การกำหนดให้คนทำสื่อต้องขอใบอนุญาต จึงเป็นแนวคิดที่ผิดหลักการเสรีภาพสื่อโดยสิ้นเชิง 3.ปัญหาสื่อมวลชนควบคุมกันเอง การควบคุมกันเองของสื่อมวลชน คือ การควบคุมกันเองทางจริยธรรม เนื่องจากมีกฎหมายที่ควบคุมการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนมากมายอยู่แล้ว เช่น กฎหมายหมิ่นประมาท กฎหมายคุ้มครองเด็ก กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เป็นต้น ดังนั้น การควบคุมกันเองทางจริยธรรมที่เน้นการลงโทษทางสังคม จึงต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ องค์กรสื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน และประชาชนผู้บริโภคสื่อ หากทั้ง 3 ส่วนมีความตื่นตัว การกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชนก็จะมีประสิทธิภาพ สำหรับประเทศไทยนั้น องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้ กำลังมีการปรับตัวไปสู่แนวทางที่พัฒนามากขึ้น การแก้ปัญหาด้วยความเชื่อว่าสื่อมวลชนควบคุมกันเองไม่ได้แล้วใช้วิธีออกกฎหมายลักษณะนี้ออกมา จึงเป็นวิธีการที่ล้าหลัง ไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการกำกับดูแลด้านจริยธรรมของสมาชิก ได้ทำงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับนักวิชาการสื่อสารมวลชน (ผู้ตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพสื่อ) และองค์กรที่ทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในการเพิ่มกลไกการกำกับดูแลกันเองให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีมาแล้ว แต่อาจไม่ทันใจกับบางท่านที่อยากจะเห็นการกำกับดูแลโดยกฎหมาย แต่ลืมคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน