ยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 หวังจะข้ามพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง พัฒนาประเทสไทยให้เป้นประเทศรายได้สูงกับเขาบ้าง โดยหวังว่าอุตสาหกรรมยุค 4.0 และระบบการเงืนในโลกไซเบอร์จะช่วยได้
แต่เมื่อย้อนพิจารณาสภาวะเป็นจริงของเศรษฐกิจสังคมไทย และความเหลื่อมล้ำในทุกด้านของคนไทยแล้ว ก็น่าห่วงกังวล
เพราะในอดีตนั้น ผู้ควบคุมอำนาจรัฐเคยมียุทธศาสตร์เลียนแบบการพัฒนาของต่างชาติ อย่างไม่สอดคล้องกับภาวะความเป้นจริงของสังคมไทย และล้มเหลวมาแล้ว
เพื่อนบ้านในเอเชีย เขาเป็น “เสือ” กันหลายประเทศ ผู้นำไทยก็เลยคิดจะเป็น “เสือตัวที่ห้า” กับเขาบ้าง ทำไปทำมาต้องป่วยด้วยโรคต้มยำกุ้ง...แทบตาย
มาตอนนี้ก็จะพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ก้าวกระโดดเป็นอุตสาหกรรมยุค 4.0
แต่ประเทศยังจมปลักติด “กับดักผักตบชวา” “กับดักขยะ” สู้รบไม่ชนะ แม้จะตั้งปัญหาขยะเป็นวาระแห่งชาติมาสามปีแล้วก็ตาม
ดูตัวอย่างขยะในคลองลาดพร้าวขณะนี้ก็แล้วกัน
อุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำมีแล้ว แต่ขยะมหาศาลอุดตัน มันก็ต้อง “รอระบาย” ไปช้า ๆ
ผักตบชวาตักขึ้นทิ้งบนบกแล้ว มันก็งอกในน้ำใหม่ เดี๋ยวมันก็เต็มคลองเต็มแม่น้ำอีก
ปัญหาสังคมส่วนใหญ่ต้องแก้ไขที่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของมวลชน
แต่รัฐบาลไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาไม่เคยทำ ,ทำไม่สำเร็จ , ไม่กล้าทำ ฯ
มันต้องปลุกระดมและจัดตั้งมวลชน สร้างความร่วมมือร่วมใจ รับอำนวยความสะดวกให้มวลชน “ทำได้”
ตัวอย่างเร็ว ๆ นี้ ก็เช่น เรื่องที่มวลชนอินเดียร่วมพลังกันกำจัดขจัดขยะจำนวน 5.3 ล้านกิโลกรัม ออกจากชายหาด Versova ได้สำเร็จ ทำให้ชายหาดนั้นหลับมาเป็นชายหาดที่งดงามได้
หรือเรื่องที่ พรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยเหมาเจ๋อตงบริหาร สามารถขจัดโรค “พยาธิในเลือด” ได้สำเร็จ โรคร้ายนี้ระบาดมายาวนานหลายร้อยปี ทำให้คนจีนภาคใต้ป่วยตายนับล้านคน พรรคคอมมิวนิสต์จีนหลถกระดมใช้พลังมหาชนปราบได้สำเร็จหลังจากยึดอำนาจการปกครองได้ไม่กี่ปี
มองเมืองไทยแล้ว ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับคุณภาพของคน ก็ไม่มีหวังจะแก้ไขปัญหาขยะล้นเมือง ผักพบชวาล้นแม่น้ำลำคลองได้
จึงคงทนฝืนใจอดทนอยู่ในกับดักนี้ต่อไป...
ก็บ้านเมืองไม่ใช่ของเราคนเดียว “ปัดสวะ” ไปก่อนดีกว่า