เสรี พงศ์พิศ www.phongphit.com “เมื่อโลกเปลี่ยน ถ้าคุณไม่เปลี่ยน คุณจะถูกเปลี่ยน” ใครที่รอให้โควิดผ่านไปแล้วค่อยคิดว่าจะเปลี่ยน คงสายเกินไป ไม่ทันกาลแล้ว ต้องเริ่มคิดและเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่วันนี้ โดยมีฐานคิดใหม่ มองโลกมองชีวิตแบบใหม่ ไม่ใช่คิดแบบมโนเอาเอง แต่บนฐานข้อมูลที่โลกเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ รื้อสังคมเก่าสร้างสังคมใหม่บนฐานข้อมูลและโลกทัศน์ใหม่นี้ ในอดีต อยากรู้อนาคตประเทศไทยให้ไปอเมริกา วันนี้อยากรู้ว่าเมืองไทยในอนาคตให้ไปจีน ขณะที่อเมริกายังใช้เช็ค ใช้เงินสด ใช้เครดิตการ์ด เมืองจีนใช้สมาร์ทโฟนเครื่องเดียวทำได้ทุกอย่างแม้ซื้อของข้างถนน นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่ม 5G จริงจัง นั่นแค่เรื่องการเงิน ซึ่งมี blockchain กำลังมาเปลี่ยนระบบการเงินใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอีกมากมายที่ประสานพลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เทคโนโลยีใหม่พร้อมกันมาเปลี่ยนโลก ไล่มาตั้งแต่ปัญญาประดิษฐ์, หุ่นยนต์, พลังงานแสงอาทิตย์, แบตเตอรี่, อินเตอร์เน็ตสรรพสิ่ง, การพิมพ์ 3 มิติ, บิ๊กดาต้า, ยานไร้คนขับ เหล่านี้ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและถอนรากถอนโคน การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะด้านพลังงาน คมนาคม การสื่อสาร การผลิต การบริโภค การแพทย์ อุตสาหกรรม การเกษตร การผลิตอาหาร และอื่นๆ ที่จะส่งผลอย่างสำคัญไม่เพียงแต่ต่อระบบนิเวศธรรมชาติ แต่รวมไปถึงนิเวศการเมือง คือระบบโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ภาคอุตสาหกรรม ที่ปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์เข้ามาแทนแรงงาน ทำให้คนตกงานจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โควิดมาเร่งให้เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น หุ่นยนต์ไม่ติดเชื้อ ไม่ป่วย ไม่หยุดงาน ปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้กระทบแต่เฉพาะแรงงานในโรงงาน แต่ในภาคธุรกิจบริการต่างๆ อย่างการเงิน และอื่นๆ ที่ต้องลดพนักงานลง และปรับเปลี่ยนวิธีการให้บริการใหม่หมด การคมนาคมจะเปลี่ยนไป รถยนต์ไฟฟ้าจะมาแทนรถใช้น้ำมันในไม่กี่ปีนี้ รวมทั้งรถไร้คนขับก็จะมาให้บริการได้เต็มที่ภายในไม่ถึง 10 ปี ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่ง คนขับรถจะตกงาน ธุรกิจน้ำมัน และการผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหิน ก๊าซ น้ำมัน นิวเคลียร์ก็จะหมดไป การผลิตอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จะเปลี่ยนไป จะผลิตเอง ทำเอง ใช้เองในแต่ละท้องถิ่นมากที่สุด เพราะเครื่องพิมพ์ 3 มิติประการหนึ่ง และเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพประการหนึ่ง ถ้าแต่ละหมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด สามารถผลิตเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ได้เองและราคาก็ไม่แพงแล้ว โรงงานผลิตสิ่งเหล่านี้จะปิดไป รวมไปถึงการผลิตอาหาร เนื้อ นม ไข่ โดยดึงเอาจุลินทรีย์ ยีสต์ เอนไซม์ แบคทีเรีย จากสัตว์ พืช มาผลิตโมเลกุลโปรตีนที่ร่างกายต้องการ จากที่ปัจจุบันเห็นแต่การเพาะเนื้อเยื่อพืชได้เป็นแสนเป็นล้าน นี่เพียงขั้นประถม ต่อไปเป็นมัธยมและอุดมที่ผลิตออกมาทั้งพืชและสัตว์จนจบกระบวนการ ได้อาหารจริงแบบใหม่ ที่ไม่ต้องการทุ่งหญ้าหรือพื้นที่เลี้ยงสัตว์แบบเดิม ในยุคใหม่ การผลิตวัตถุดิบแบบเดิมจะน้อยลงมากหรือหมดไปในหลายกรณี ไม่ต้องเลี้ยงสัตว์แบบเดิมอีกต่อไป ไม่ต้องปลูกพืชผักผลไม้ให้มากมายกินพื้นที่และแรงงานอีกต่อไป คนไทยไม่ต้องทำนา เพราะผลิตข้าวได้ในห้องแล็บ ไม่ต้องเลี้ยงวัว หมู เป็ด ไก่ ปลา เป็นอาหารแบบเดิม เพราะทำได้หมดในห้องแล็บ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในอเมริกา คือ พื้นที่ร้อยละ 25 ของประเทศ ที่เคยเป็นทุ่งและที่ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำการเกษตรก็จะลดลงหรือหมดไป เพราะมีการผลิตทดแทนได้ทั้งหมด สะอาดกว่า ปลอดภัยไร้สารเคมี (แต่เปลี่ยนพันธุกรรมจะเกิดผลร้ายอะไรไม่ได้พูดกัน) เมืองไทยจะไล่หลังอเมริกาแบบกระชั้นชิด การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีนี้จะถอนรากถอนโคนสังคมเก่าอย่างแน่นอน ไม่แต่เพียงทางเศรษฐกิจ แต่ทางการเมือง เพราะโลกเก่าที่เป็น “รัฐชาติ” (nation state) เกิดมาพร้อมกับระบบอุตสาหกรรม มีการรวมศูนย์การผลิต การบริหารจัดการ อำนาจการเมืองและเศรษฐกิจไปพร้อมกัน เมื่อสังคมเปลี่ยนมาผลิตทุกอย่างได้เองในท้องถิ่น เมือง แควัน รัฐต่างๆ จะเป็นอิสระ จะปลดปล่อยตนเองจากอำนาจส่วนกลางที่จะไม่มีอำนาจเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะศูนย์กลางเศรษฐกิจอยู่ที่ท้องถิ่น โลกใหม่จะเป็นโลกของท้องถิ่น ของชุมชน ที่จะเชื่อมโยงกันทั้งโลกทางอินเทอร์เน็ตอย่างที่เป็นอยู่แล้ววันนี้ จะเป็นจุดจบของรัฐชาติที่รวมศูนย์ รวมอำนาจ รวมรายได้ การเงินจากท้องถิ่นมาไว้บริหารจัดการ เพราะธุรกิจใหญ่ อุตสาหกรรมที่บริหารแบบรวมศูนย์ และใช้อำนาจส่วนกลางจัดการ ต่อไปจะไม่มีแล้ว ผู้นำทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองจำนวนมากไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ คิดว่า “มโน” และ “โลกสวย” ยังเชื่อการเปลี่ยนแปลงแบบเส้นตรง คิดว่า “คงอีกนาน” แต่โลกในอนาคตจะ “สวย” หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้กำหนดนโยบาย กับรัฐบาลด้วยว่าจะเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด หรือจะให้การเปลี่ยนเอื้อประชาชนส่วนใหญ่ ผู้นำเมืองไทยอาจไม่เชื่อ สิงคโปร์เชื่อและเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว มีรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับออกมาวิ่งทดลองปีสองปีแล้ว โควิดมายิ่งเร่งให้สิงคโปร์ “เปลี่ยนใหม่หมด” ไม่กลับไปแบบเดิมอีกต่อไปในการจัดการสังคมเศรษฐกิจ แต่สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ เมืองไทยใหญ่กว่าเกือบร้อยเท่า มี 77 จังหวัด ซับซ้อนกว่า ผู้นำไทยอาจยังติดกับดักยุทธศาสตร์ 20 ปี ยังยึดครองอำนาจเหมือนว่าโลกไม่ได้เปลี่ยน อาจจะตกยุคและเป็นรัฐล้มเหลวเหมือนธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ปรับตัวไม่ทัน สังคมไทยต้องกระจายอำนาจ คืนอำนาจให้ประชาชน ให้จังหวัดจัดการตนเองเป็นอันดับแรก ให้ทุกจังหวัดวางแผนการพึ่งตนเองในทุกด้านให้ได้ ตามการเปลี่ยนแปลงโลกและเทคโนโลยีให้ทัน ถ้าเอาคนเป็นศูนย์กลาง เอาชุมชนเป็นเป้าหมายจริง การเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน