สถาพร ศรีสัจจัง ที่จริงลัทธิ “บริโภคนิยมสัมบูรณ์” ที่กำลังเป็นระบบเศรษฐกิจกระแสหลักและถูกกล่าวหาว่า “กินโลก” อยู่ในปัจจุบันที่มีสหรัฐอเมริกาเป็น “หัวโจก” นำแสดงอยู่นั้น และสังคมไทย(โดยกลุ่มชนชั้นนำ)รับมาสถาปนาขึ้นในประเทศไทยอย่างผลีผลามสักเมื่อประมาณครึ่งศตวรรษที่พ้นผ่านนั้น ไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด ในแง่ “ปรัชญา” หรือกระบวนการคิดของมนุษยชาติต่อการตีความเพื่อการยังชีวิตอยู่กับโลก กับจักรวาล หรือกับแกแลคซี่แต่อย่างใด เพราะตั้งแต่โบราณมาแล้ว ที่ “นักคิด” หลายกลุ่มหลายเหล่าได้นำเสนอ แนวคิดหรือทฤษฎี “สุขนิยม” แบบสุดโต่งตระกูลนี้ไว้ไม่น้อย ใครที่เคยเรียนวิชา “ปรัชญาเบื้องต้น” ในมหาวิทยาลัย ย่อมจะต้องรู้ว่า “ลัทธิจารวาก” ของอินเดียก็ตาม หรือลัทธิ “โซฟี้” ของกรีกก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็น “ต้นแบบ” ของลัทธิสุขนิยมแบบสุดโต่งที่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสสอนในเรื่องนี้ว่าเป็นแนวคิดที่เรียก “กามสุขัลลิกานุโยค” อันไม่ใช่หนทางหลุดพ้นจากทุกข์ ช่วยปลดเปลื้องทุกข์ หรือทำให้ความทุกข์ของชีวิตลดน้อยถอยลงทั้งสิ้น           กามสุขัลลิดานุโยคนั้นแปลความเป็นภาษาไทยได้ง่ายๆตามพจนานุกรมฉบับอาจารย์เปลื้อง ณ นคร คือ “การประกอบตนให้เพลิดเพลินในกาม”            สรุปง่ายๆแบบท่านพุทธทาส ภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม เมืองไชยาก็คือ คือระบบสร้างแรงหนุนให้คนหันเข้าสู่การกระตุ้นกิเลส คือ “กิน กาม เกียรติ” นั่นเอง!           แต่ความเป็น “ลัทธิบริโภคนิยม” สมัยใหม่ที่เป็นแก่นแกนหลักของระบบทุนนิยมนั้น มีความหนักหนาสากรรจ์และ “รุนแรง” กว่าแนวคิดเชิงลัทธิปรัชญาที่เกิดจากแนวคิดแบบ “กามสุขัลลิกานุโยค” โบราณประเภทลัทธิ “จารวาก” ของอินเดีย หรือ “โซฟี” ของกรีกชนิดที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย เรียกว่ารุนแรงร้ายกาจยิ่งกว่าแบบ “ไม่ติดฝุ่น”           สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ มีนักคิดสมัยใหม่จำนวนมากชี้ให้เห็นว่า เมื่อลัทธิบริโภคนิยมสัมบูรณ์ “ทุนนิยม” สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นถึงระดับ “เป็นนายของโลก” คือสามารถ “ผูกขาดระบบการผลิตและยึดครองตลาดโลกได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว” หรือที่นักเศรษฐศาสตร์อย่างคาร์ล มาร์กซ์ เรียกว่าพัฒนาจนถึงขั้น “จักรพรรดินิยม” (Imperealism)ได้เรียบร้อยแล้ว มันก็จะสามารถมีพลังกำหนดหรือสามารถสร้าง โปรแกรม “รูปการจิตสำนึก” ของมวลชนทั้งโลกในฐานะผู้บริโภคไว้ได้ “อย่างเป็นด้านหลัก”           คือจะให้เชื่ออะไร รักอะไร เกลียดอะไร ชอบอะไร ฟังเพลงแบบไหน จะกินอะไร แต่งตัวอย่างไร อย่างไรถึงเรียกว่าสวย อย่างไรน่าเกลียด ฯลฯ สรุปก็คือ สามารถสั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้ตามใจเหมือนระบบวินัยอัน “ดีเยี่ยม” ของทหารนั่นแหละ!            หลู่ซิ่น นักเขียนร่วมสมัยคนสำคัญและเป็นแม่ทัพทางความคิดแห่งวงการนักเขียนจีนใหม่คือสาธารณรัฐประชาชนชนจีน จึงตอบความเมื่อถูกตั้งคำถามให้นิยามถึงความหมายอันแสนลึกล้ำของสิ่งที่เรียกว่า “ระบบทุนนิยม” นี้ไว้อย่างแหลมคมว่า คือระบบที่ “กิ น ค น”           ทำไมจึงเป็นระบบ “กินคน” ?             อธิบายว่า เพราะระบบทุนนิยมหรือบริโภคนิยมสุดโต่งสัมบูรณ์นั้นจะแปรทุกอย่างรวมทั้งสถานะของมนุษย์ให้กลายเป็นเพียง “สินค้า” ทุกอย่างในระบบนี้ต้องวัดได้ด้วยความมี “มูลค่า” สิ่งใดที่ไม่สามารถวัดด้วยมูลค่า(เช่นระบบจริยธรรม ความดี ความเป็นมิตร ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตากรุณา ความรัก ฯลฯ)เป็นสิ่งไร้สาระ ไม่มีคุณค่าที่แท้จริงด้วยประการใดๆ             ในแง่นี้ การ “กินคน” (ในรูปแบบและด้วยกลวิธีต่างๆ)จึงเป็นเพียงเรื่องปกติเรื่องหนึ่งของระบบทุนริยมเท่านั้น ถ้าสิ่งนี้จะนำไปสู่ “กำไรสูงสุด” ที่ต้องแปรค่าเป็น “เงิน” ซึ่งถือเป็นตัวแทนรูปธรรมที่สำคัญที่สุดของสิ่งที่เรียกว่า “ทุน” ได้              เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดมา “ซื้อ” (ทุกสิ่งที่กำหนด “มูลค่า” ไว้แล้ว)ทุกคนจึงต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อ “หาเงิน” (เพราะเงินคือตัวแทนของ “มูลค่า” ที่จะระบบนี้โปรแกรมไว้ให้ใช้เพื่อซื้อ “วัตถุ” ทั้งหลายที่ถูกโปรแกรมให้เชื่อว่าเป็นตัวแทนของสิ่งที่เรียกว่า “ความสุข”)รัฐทั้งหลายจึงต้องสร้างม้อตโต้โฆษณาในทำรอง “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” กันอย่างคึกคักกว้างขวาง              จนทำให้บรรดาประชาชนผู้เป็น “เหยื่อ” ของการถูก “โปรแกรม” ด้วยเครื่องมืออันทรงพลังของระบบนี้ (เช่น ระบบการศึกษา การสื่อสารมวลชน เป็นต้น)ต้องตกเข้าไปติดแน่นอยู่ในพลังตาข่ายยักษ์นี้อย่างที่เห็นๆกันอยู่ทั้งโลก ใครที่ยังอยู่ในกลุ่มของผู้ “ชนะ” คือยังหาเงินได้มากและใช้กฎหมายเป็นประโยชน์ได้มากพอตามแรงกระตุ้นของระบบกิเลสก็ดีไป ส่วนคนแพ้ก็ต้องถูกจับยัดเข้าคุก ทั้งที่เป็นคุกตะรางจริงและคุกความทุกข์แห่งชีวิตอย่างที่เห็นๆกัน!!              ระบบเช่นที่ว่านี้จะมีเครื่องมือโฆษณา(ทำให้มิจฉาทิฎฐิหลายพวกหนึ่งเชื่ออย่างสุดใจ)เป็นม้อตโตสวยๆอยู่เสมอ เช่นคำ “ธรรมาภิบาล” “โปร่งใส” “ความเสมอภาคและเป็นธรรมทางกฎหมาย” “ความไม่มีสองมาตรฐาน” ฯลฯ แต่ก็เป็นที่รู้กันในเชิงประจักษ์ว่า สิ่งที่เรียก “กฎหมาย” หรือ “กติกา” ทั้งหลายในระบบนี้ จะมีข้อยกเว้นหรือมีช่องทางให้ละเมิดได้เสมอสำหรับคนชนชั้น “ผู้ยึดกุมอำนาจ” ซึ่งมักมีอยู่เพียงกลุ่มเดียว คือ “กลุ่มนายทุนและสมุน” ทั้งในระดับแต่ละประเทศและในระดับโลก               ในระดับประเทศคงไม่ต้องพูดถึงเพราะเห็นๆกันอยู่ ส่วนในระดับโลกนั้นเริ่มเห็นกันบ่อยขึ้นแล้วว่า “พี่เอื้อย” ตัวไหนบ้างที่แท้จริงคือโจร ที่เข้าไปปล้นทรัพยากร ไปฆ่าคน(ทั้งทางตรงและทางอ้อม)ไปข่มขู่คุกคาม ไป “ซื้อถูกขายแพง” และเข้าไปทำ “สิ่งชั่ว” แบบทรราชที่ขัดแย้งกับหลักการที่ตัวเองโฆษณา ฯลฯ ในประเทศต่างๆทั่วโลกอยู่โครมๆ ส่วนความ “เน่า” ที่เกิดจากระบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชี้ได้ทั่วโลก ของไทยเองก็ชัดเจนว่าระบบนี้ “กำลังกลืนกิน” ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไรไร ดินเสื่อม น้ำเสีย อากาศเป็นพิษ ธรรมชาติถูกทำลาย ระบบจริยธรรมที่เคยเป็นฐานของสังคมพังพินาศ ฯลฯ หรือจะยังไม่ตอบคำถาม?                หรือสังคมไทยวันนี้จะปฏิเสธแนวทางธรรมที่้เจ้าชายสิทธัตถะพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงค้นพบ และแผ่บุญญาธิการมาคุ้มครองปกป้องผู้คนและแผ่นดินนี้ให้พอได้ไม่ตกเป็นพวกมิจฉาทิฎฐิแบบสุดโต่ง รู้จัก “ทางสายกลาง” มาตั้งเป็นพันๆปีแล้ว เพียงเพราะยอมจำนนต่อพลังความเน่าเหม็นของระบบกระตุ้นกิเลสแห่งระบบทุนนิยมผูกขาด?