แสงไทย เค้าภูไทย รมว.คลังคนใหม่แม้จะดูใหม่แกะกล่อง แต่ดูจากปูมหลังและผลงานแล้ว คล้ายจะเป็นเหล้าเก่ามาอยู่ในขวดใหม่ ทั้งนี้เพราะ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการคลัง คนที่ 3 ของรัฐบาลประยุทธ์ 2.2 ทำงานในสายงานภาครัฐมาโดยตลอด ตำแหน่งสำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเศรษฐกิจชาติก็คือ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ฯ ว่ากันว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลประยุทธ์ ไม่ว่าจะ 1-2-2.2 ล้วนใช้แผนตามแบบพิมพ์ที่สภาพัฒน์ฯ เป็นผู้ร่างและออกแบบมาโดยตลอด แทบจะไม่มีการแต่งเติมเสริมสภาพอะไรเลย เหมือนกับกินก๋วยเตี๋ยวที่เขาปรุงมาอย่างไรก็กินกันอย่างนั้น ไม่ได้เติมพริกน้ำส้ม น้ำปลา ตาล พริกป่น ฯลฯ ใดๆเลย การที่นายกฯดึงออกมาจากสภาพัฒน์ฯมาเป็นรมช.คมนาคมก่อนจะมาเป็นรมว.คลังก็ด้วยเหตุผลว่า เพื่อให้ดูแลเมกะโปรเจกต์ด้านคมนาคมที่สำคัญ ไม่ว่าจะรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง รวมถึงข่ายโยงคมนาคมและโทรคมนาคมอื่นๆ ซึ่งมีมูลค่าแต่ละโครงการระดับหมื่นๆล้าน ดูแล้วก็เหมือนเหล้าเก่า เมื่อมาอยู่ในขวดใหม่คือรมว.คลัง ก็ไม่น่าจะเป็นเหล้าใหม่ในขวดใหม่ การที่รัฐบาลดำเนินนโยบายตามแผนเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์ฯวางไว้แบบกินก๋วยเตี๋ยวไม่เติมเครื่องปรุงรสเช่นนี้ ดูคล้ายกับเป็นเด็กในโอวาท นับว่าดีไปอย่างที่ไม่เสี่ยง แต่ดูอีกที ก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง รัฐมนตรีในสายเศรษฐกิจไม่ได้แสดงกึ๋นอะไร อยู่แต่ในกรอบของการเป็นรัฐราชการอย่างคงเส้นคงวา ข้าราชการเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในครอบของคสช. จึงไม่แปลกอันใดที่ เศรษฐกิจไทยขาดภูมิคุ้มกัน เคยอยู่กันแบบเรื่อยๆเฉื่อยๆตามสบายคือไทยแท้ แต่พอมาเจอสถานการณ์อปกติ เป็น abnormal ที่จะกลายเป็น นิวนอร์มอลในปีหน้าก็ทำท่าง่อนแง่น คือเศรษฐกิจหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก จนเข้าโซนถดถอย วันนี้ GDP ไทยโตต่ำสุดในอาเซียน (ไม่รวมสิงคโปร์กับบรูไนที่ขึ้นไปเป็นประเทศพัฒนาแล้ว) สิ้นไตรมาส 3 ติดลบ -12.8% (World Bank) การส่งออกคือเส้นเลือดใหญ่ของไทย แต่เมื่อโลกภายนอกเศรษฐกิจหดตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) และมีคนทำนายว่าอาจถึงตกต่ำ (Depression) ตลาดสินค้าไทยก็หดตาม บรรดาบริษัทญี่ปุ่นที่มาตั้งโรงงานในไทยพากันหนีไปอยู่เวียดนาม เพราะญี่ปุ่นมาอยู่ไทยด้วยเหตุผล 2 ประการ คือค่าแรงถูก แรงงานไทยมีทักษะสูง กับใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปสหรัฐฯและยุโรป แต่วันนี้บริษัทญี่ปุ่นย้ายฐานผลิตไปอยู่เวียดนามกันกว่าค่อนแล้ว ล่าสุดคือพานาโซนิก ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เคยใช้ในการเลือกลงทุนในไทย ช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยมีกูรูเศรษฐกิจสบประมาทเวียดนามว่า กว่าจะตามไทยทันจะต้องใช้เวลา 15 ปี แต่พอมีรัฐบาลประยุทธ์ ระยะเวลาที่เวียดนามตามทันไทยนั้น แค่ 2 ปีเท่านั้นและตอนนี้ แซงไปแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ เหตุผลสำคัญคือ ค่าเงินด่องถูก สินค้าส่งออกของเวียดนามจึงราคาถูก จนคล้ายตัดราคาเพื่อนบ้าน ซึ่งก็คือเหตุผลว่าทำไมญี่ปุ่นถึงย้ายฐานผลิตไปเวียดนาม การที่ค่าบาทแข็งจนทำให้ราคาสินค้าเมื่อเป็นดอลลาร์สหรัฐฯแพงนั้น ด้วยสาเหตุไทยบิดเบือนหรือแทรกแซงค่าบาท ผีต้มยำกุ้ง 40 ยังตามหลอกหลอน ทำให้ไทยดำรงสำรองเงินตราต่างประเทศและสำรองทองคำจนเกินจำเป็น ด้วยข้ออ้างเพื่อเสถียรภาพเงินบาท แต่กลับทำให้ค่าบาทบิดเบือน แข็งกว่าค่าแท้จริงมาก ซึ่งเมื่อคำนวณด้วยดัชนีค่าเงินบาท ( Nominal Effective Exchange Rate – NEER) และ ค่าบาทที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate – REER) แล้ว ค่าบาท NEER จะอยู่ที่ 38.50 บาท/ดอลลาร์ ส่วน REER จะอยู่ที่ 35 บาท ถูกกว่าอัตราแลกเปลี่ยนขณะนี้ที่อยู่ราว 31.00-32.00 บาท/ดอลลาร์ ผู้ส่งออกบอกไม่ต้องให้ถึง 35-38 ดอลลาร์หรอก ขอแค่ 34 บาทก็พอ ว่าที่รมว.คลังคนใหม่ทำให้ได้ไหม ? เชื่อว่าท่านคงไม่คิดตามเอกชนผู้ส่งออก เพราะท่านเป็นข้าราชการมาตลอดชีวิต