เสรี พงศ์พิศ www.phongphit. โลกเปลี่ยนอย่างก้าวกระโดดวันนี้เพราะพลังเทคโนโลยีที่สร้างเครือข่าย เชื่อมเครือข่ายและผนึกพลังเครือข่ายข้อมูล เครือข่ายผู้ผลิต ผู้บริโภค เครือข่ายสินทรัพย์ ทรัพยากรและอื่นๆ ทุกรูปแบบ เทคโนโลยีหลายอย่างมาบรรจบกันทำให้เกิดสมาร์ทโฟน ทำให้เกิดการประกอบการรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่าง Uber, Grab ที่เชื่อมเครือข่ายข้อมูลคนมีรถเพื่อนำมาใช้โดยสารเหมือนแท็กซี่ โดยที่ตัวเองไม่ต้องมีสักคัน แต่มีสมาชิกหลายล้าน หรือ Airbnb ที่เชื่อมเครือข่ายบ้านที่มีห้องว่างให้คนพักเกือบทุกประเทศในโลกหลายล้านห้อง โดยไม่ต้องสร้างโรงแรมเอง เมื่อ 5G มา อินเตอร์เน็ตสรรพสิ่งเกิดเต็มตัว (IoT) ก็จะเชื่อมสิ่งของต่างๆ เข้าด้วยกัน คนสามารถสั่งการสิ่งที่เชื่อมโยงทางอินเทอร์เน็ตได้ไม่ว่าอยู่ที่ใด ไม่ต้องพูดถึงปัญญาประดิษฐอื่นๆ อย่างรถยนต์ไร้คนขับ และอื่นๆ ที่ตามมา ทั้งหมดด้วยพลังของการเชื่อมเครือข่ายหลายเทคโนโลยีและข้อมูล ที่ใหญ่สุดเห็นจะเป็นอีคอมเมิร์ซ ที่เกิดจากการสร้างเครือข่ายข้อมูลสินค้า ผู้ผลิต ผู้บริโภคเข้าด้วยกัน ตลาดใหญ่ออนไลน์มีร้านรวงไปทั่ว ใช้ข้อมูล และเทคโนโลยีเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เทคโนโลยีเชื่อมเครือข่ายคน เครือข่ายทางสังคม ก่อให้เกิดขบวนการต่างๆ ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนได้มากยิ่งขึ้น แลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลทางสื่อสังคมหรือโซเชียลมีเดีย ที่ขยายไปสู่มิติอื่นๆ อย่างโซเชีลแบงกิ้ง ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปฏิบัติการการเงินการธนาคาร รวมไปถึงโซเชียลด้านสุขภาพ สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การเกษตร โดยเฉพาะการศึกษาที่เปิดกว้างอย่างไม่มีข้อจำกัด ยุคนี้จึงเป็นยุคของการกลับสู่การสร้างความสัมพันธ์ การสร้างเครือข่าย เพราะนี่คือพลังของชีวิตที่แท้จริงตั้งแต่เริ่มต้น ที่คนสัมพันธ์กับธรรมชาติ กับสรรพสิ่ง คนเป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่ง และพยายามเข้าใจว่า ทำไมทุกสิ่งจึงเชื่อมสัมพันธ์กันเป็นหนึ่ง ปรัชญาทั้งตะวันตกตะวันออกพยายามหาคำตอบนี้ จนมาถึงศตวรรษที่ผ่านมา ที่นักวิทยาศาสตร์อย่างไอน์สไตน์และอื่นๆ ได้อธิบายความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งว่าเป็นหนึ่งด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพและทฤษฎีควอนตัม และกำลังมีทฤษีอื่นๆ ที่ตามมาอย่างทฤษฎีสตริง หรือซูเปอร์สตริง เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่อธิบายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมสัมพันธ์กันอย่างไร ทางวิชาความรู้และทางสังคมจึงมีศัพท์ที่สะท้อนความพยายามเชื่อมสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายให้เกิดพลังให้มากที่สุด เราจะเห็นกลุ่มคำศัพท์เหล่านี้อย่าง องคาพยพ อินทรีย์ องค์รวม บูรณาการ เครือข่าย คลัสเตอร์ มองเป็นระบบที่ทุกอย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน อย่างระบบนิเวศ สุขภาพองค์รวม คนพยายามฟื้นฟูธรรมชาติเพราะเห็นว่า วิถีชีวิตวันนี้ได้ทำลายธรรมชาติ ทำลายความสัมพันธ์ ความสมดุลของธรรมชาติ โลกจึงร้อนขึ้น เกิดภัยพิบัติร้ายแรง พายุ น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟป่า น้ำแข็งขั้วโลกละลาย เทคโนโลยีเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน เป็นพลังเพื่อการฟื้นฟูธรรมชาติ ฟื้นฟูสังคม กำลังเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองในหลายประเทศ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทางสังคมการเมืองในประเทศไทยเป็นปรากฏการณ์ที่เทคโนโลยีช่วยเชื่อมผู้คนเข้าด้วยกันทางโซเชียลมีเดีย เกิดการไหลเวียนข้อมูลทันทีทันใดอย่างทั่วถึงกลุ่มคนเครือข่ายสมาชิก นัดหมายและร่วมกันทำกิจกรรมทางการเมือง นับเป็นเครื่องมือที่มีพลังที่สุดที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ขณะที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงผู้คน ในเวลาเดียวกันก็แบ่งแยกผู้คน สร้างความแตกแยกให้หนักขึ้นไปอีก เพราะมีคนที่ตามไม่ทันปรับตัวไม่ได้ เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ กับการเมืองแบบเก่ากับการเมืองแบบใหม่ ด้วยอุดมการณ์ที่ต่างกัน เกิดเป็นสงครามข่าวสารข้อมูลทางไซเบอร์ มีข่าวจริงข่าวปลอม การใส่ร้ายป้ายสีโจมตีกัน โดยไม่ต้องการเครื่องขยายเสียงแบบโบราณอีกต่อไป ไม่ต้องการใบปลิวที่ล้าสมัย ไม่ต้องปักหลักนอนประท้วงเป็นอาทิตย์เป็นเดือน มีกระบวนการประท้วงด้วยการระดมข้อมูลข่าวสารต่อเนื่องบนไซเบอร์ตลอดเวลา หรือจัดการประท้วงในแบบ “ป่วนเมือง” อย่างทำให้เกิดปัญหาจราจร การคมนาคม ส่งผลต่อเศรษฐกิจ อันนี้ต่างหากที่สังคมไทย รัฐบาลไทยอาจไม่เข้าใจและตามไม่ทัน แทนที่จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ กลับไปไล่ตามจัดการกับการชุมนุม ใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้ประท้วง ที่เป็นเพียงปรากฏการณ์ส่วนเดียวของขบวนการประชาชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง การประท้วงยิ่งลุกลามและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนอาจเป็นข้ออ้างให้อำนาจรัฐกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ของการเมืองไทยคือการรัฐประหาร ที่นึกว่าจะแก้ปัญหาความวุ่นวายและปัญหาต่างๆ ได้ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นอย่างไร ดูเหมือนจะมีเพียงประเทศเบลารุสและประเทศไทยที่มีการชุมนุมประท้วงเรื่องประชาธิปไตย ถ้าไม่นับฮ่องกงซึ่งดูเหมือนจะ “จบ” ไปแล้ว ขณะที่สังคมไทยยังต่อสู้กันต่อไป ฝ่ายปกครองก็ทำเหมือนใช้ค้อนไล่ทุบแมลงวัน และแมลงวันก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สงครามในยุคดิจิทัลนี้ สู้กันด้วยข้อมูลข่าวสารและเครือข่ายผู้คนผู้บริโภคและมวลชน เมืองจีนวันนี้มีพลังทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม เพราะสร้างแพลตฟอร์มของตนเอง อาศัยข้อมูลและเครือข่ายของประชากร ทำให้เกิดพลังทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองที่เป็นเงาอยู่เบื้องหลัง รัฐบาลไทยอยู่ในสถานะที่ดีที่จะประสานพลังทางสังคม ไม่ตอกลิ่มความแตกแยก หาทางเจรจารับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ไม่มองคนที่เห็นต่างเป็นศัตรู ไม่แก้ปัญหาด้วยความรุนแรง หรืออ้างแต่กฎหมาย เพราะจะสร้างปฏิกิริยาตอบโต้กันไม่รู้จบแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน และเสียหายทุกฝ่าย ไม่ปล่อยให้สื่อโซเชียลทำได้แค่เครื่องมือโจมตีกัน บริโภคแต่ข้อมูลขยะ แต่สร้างแพลตฟอร์มที่เป็นฐานและเครือข่ายการเรียนรู้ เครือข่ายการตลาด การแลกเปลี่ยนสินค้าผลิตภัณฑ์ เป็นสื่อสร้างสรรค์สร้างพลังการเปลี่ยนแปลงที่พึงปรารถนา แทนที่จะเป็นเวทีฆ่ากันด้วยข้อมูลข่าวสารอย่างวันนี้