ทองแถม นาถจำนง สังคมไทยมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่รู้จะเรียกอย่างไร จึงว่าตามคนเก่า ๆ ที่เขาเรียกว่า... “แบบไทย ๆ” สังคมไทยอยากจะเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ดีงาม แต่เป็นไม่ได้เสียที คนเก่า ๆ เขาเรียกว่า...”ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” อัน “ประชิปไตยสมบูรณ์ดีงาม” ตามปากพูดนั้น ใคร ๆ ก็ต้องการ แต่ที่ยังไมได้เป็นก็เพราะคนไทยยังเป็น,,,”แบบไทย ๆ” ย้อนตรวจดูคำวิจารณ์ของคนรุ่นเก่า เช่น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเคยวิจารณ์ไว้ว่า เมืองไทยจะสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ดีงามได้ คนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นทั้ง “อัครมหาเสนาบดีและนายกรัฐมนตรี” ในคน ๆ เดียวกัน งง...ละซี การเป็นนายกรัฐมนตรีคือมีอุดมคติประชาธิปไตยจริง เข้าใจจริง และตั้งใจสร้างจริง แต่ในการทำงานสร้างประชาธิปไตยนั้น จะต้องทำงานแบบอัครมหาเสนาบดี คือจัดการดัดแปลงข้าราชการและระบอบราชการเก่า ๆ ได้สำเร็จ อาจารย์หม่อมท่านวิจารณ์ไว้ว่าเมื่อ พ.ศ 2521 อ่านแล้วยังรู้สึกเหมือนกับว่าท่านวิจารณ์การเมืองขณะนี้ “... อีกปีหนึ่งเราก็จะมีการเลือกตั้งกันใหม่ ตรงนี้แหละครับที่ผมเป็นห่วง เป็นห่วงว่าเมื่อเลือกตั้งกันใหม่ มันก็จะยุ่งกันใหม่อีก เลือกเอาใครเข้ามา ก็เลือกหน้าเก่า ๆ อย่างผมนี้แหละเข้ามา เข้ามาแล้วทำอะไร ก็มาวิ่งหาอัฐ มาวิ่งหาตำแหน่ง และก็วิ่งหาสายสะพาย คนอื่นเขาจะเป็นยังไงช่าง แก่งแย่งชิงอำนาจกัน คนนั้นอยากเป็นรัฐมนตรี คนนี้อยากเป็นรัฐมนตรี บางคนมาหาผม บอกขอเป็นสักสองเดือนเท่านั้น จะไล่ออกก็เอา มันจะได้มีเกียรติมีประวัติว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีกับเขาบ้าง ผมก็เกรงว่ามันจะกลับมาอย่างนั้น... เราทั้งปวงที่นั่งอยู่ที่นี่จะต้องช่วยกันทำ จะไปปล่อยคนอื่นไม่ได้ ปล่อยทหารก็ไม่ได้ ปล่อยใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น เป็นเรื่องของเราโดยเฉพาะแล้ว อนาคตจะเป็นยังไงอยู่ในอุ้งมือของท่าน ในทางการเมืองถ้าไม่ช่วยกันแล้ว เลือกตั้งอีกกี่ร้อยกี่พันหนก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้.... สำหรับท่านที่เป็นข้าราชการประจำ กระผมอยากจะพูดด้วยเหมือนกัน กระผมสังเกตมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ในยามที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยนั้น ข้าราชการกับนักการเมืองไม่มีความจริงใจต่อกันครับ อันนี้จะต้องแก้ยังไงผมไม่ทราบ เอาที่นักการเมืองก่อน กระผมเห็นน้อยเหลือเกินนักการเมืองที่มาเป็นรัฐมนตรีเป็นอะไรแล้วจะมามีความจริงใจต่อข้าราชการประจำ ที่จะเข้ามาปกครองเขาด้วยความเป็นธรรม ที่จะเห็นอกเห็นใจกัน และใช้ข้าราชการประจำในทางที่ถูก นี่กระผมเห็นน้อยเหลือเกิน.... และข้าราชการประจำก็เช่นเดียวกัน พอนักการเมืองมาเป็นรัฐมนตรีก็กลัวเขา ขณะเดียวกันก็เกลียดเขาด้วย แต่เกลียดแล้วไม่กล้าทำอะไร เขามาตั้งนโยบายผิด ๆ ถูก ๆ ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ไม่มีใครบอกว่า ท่านครับ ผิดนะ ทำไปบ้านเมืองฉิบหายผมไม่รู้ด้วยนะ ไม่มีครับ เขาสั่งอะไรมา ขอรับกระผม ได้ แล้วเมื่อรับเอามาแล้ว ไม่เห็นด้วย ทำยังไง Sabotage บ่อนทำลายนโยบายของรัฐบาล ทำกันมามากมายเหลือเกิน กระผมเป็นรัฐบาล กระผมถูก Sabotage มาเท่าไหร่ด้วยข้าราชการประจำ ผมก็รู้.... กระผมเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยมันไปไม่รอด มันจะต้องอาศัยความจริงใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายครับ ถ้าว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจริงใจ อีกฝ่ายหนึ่งไม่จริง มันก็ทำงานกันไม่ได้อยู่นั่นเอง ถ้าจะพูดถึงข้าราชการประจำเมืองไทยแล้ว กระผมขอพูดด้วยความสัตย์จริงว่า เรายังอยู่ในระบอบเก่า ทุกกระทรวง ไม่ใช่เฉพาะที่มหาดไทยเท่านั้น ความจริงมาเฟีย ก็หมดสอ แสนคนนี่แหละ ก็มาเฟียด้วยกันทั้งนั้น อย่าไปว่ามหาดไทยเขาเลย คือเขานับถือเจ้าขุนมูลนาย แล้วนักการเมืองมาเป็นรัฐมนตรีก็ไปเห็นเขาเป็นเสนาบดี ให้ความรับผิดชอบกับเขามากมายเหลือเกิน นึกว่าเขาสั่งอะไรเป็น... เพราะฉะนั้น ถึงบอกไอ้ระบอบเก่า แหมมันติดอยู่นานครับ กระผมเคยพูดเสมอว่า นายกรัฐมนตรีของเมืองไทยที่จะใช้การได้นั้น เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยเติบโตต่อไปนั้น จะต้องเป็นอัครมหาเสนาบดีคนสุดท้าย แล้วก็เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก คือจะต้องเข้ามาในลักษณะที่ให้ข้าราชการประจำเขาเคารพยำเกรงอย่างที่เขาเคยเคารพยำเกรงอัครมหาเสนาบดี แต่ขณะเดียวกัน ท่านผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่รู้จักระบอบประชาธิปไตย มีความต้องการระบอบประชาธิปไตย แล้วทำงานเพื่อจะ Liquidate ทำให้ความเป็นอัครมหาเสนาบดีของตนเองนั้นสลายตัวไปได้ด้วยความปลอดภัยของบ้านเมือง แล้วมีนายกรัฐมนตรีรับช่วงต่อไปในทางที่ถูก นี่ก็เป็นปัญหาที่นักการเมืองหรือท่านนายกรัฐมนตรีคนต่อไป [อาจจะนั่งอยู่ในที่นี่ก็ได้ กระผมไม่ทราบ] ก็จะได้นำไปคิดเพื่ออนาคตอันดีของประเทศ” (คำบรรยายเรื่อง “อนาคตและความอยู่รอดของประเทศไทย” ณ โรงแรมนารายณ์ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2521 จากหนังสือ “คึกฤทธิ์พูด” สำนักพิมพ์สยามรัฐ 2521)