สถาพร ศรีสัจจัง ลองเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานดูแบบรีบๆ ไม่พบว่ามีการอธิบายคำ “โรคระบาด” ไว้เป็นการเฉพาะ แต่พบว่า ได้อธิบายถึงคำ “ระบาด” ไว้อย่างค่อนข้างชัดเจน จึงก๊อบปี้มาให้ดูดังนี้: “ระบาด ว. แพร่ไปอย่างรวดเร็ว แพร่ไปอย่างกว้างขวาง แพร่ไปทั่ว เช่น ข่าวลือระบาด ลักษณะของโรคติดต่อที่แพร่ไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวางเป็นคราว ๆ ไป เรียกโรคที่มีลักษณะเช่นนั้นว่า โรคระบาด เช่น อหิวาตกโรคเป็นโรคระบาดชนิดหนึ่ง” ตอนนี้น่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่อยู่ในความสนใจแบบน่าสะพรึงกลัวเท่ากับคำ “โรคระบาด” เป็นแน่ และ โรคระบาดที่คร่าชีวิตพลโลก และเขย่าขวัญมนุษยชาติอย่างน่าตกใจอยู่ขณะนี้น่าจะไม่มีโรคอะไรหนาหนักรุนแรงเท่ากับโรคหวัดชนิดหนึ่งที่เพิ่งตั้งชื่อเรียกกันว่า “โควิด- 19” ถามว่า จริงๆแล้วมีโรคระบาดอะไรที่น่ากลัวกว่าเจ้า “โควิด-19” นี้บ้างไหม? มีบางใครตอบแบบแผ่วๆผ่านหูมาให้พอได้ยิน(เหมือนไม่มั่นใจในคำตอบนัก)ในทำนองว่า “มีสิ” เมื่อถูกถามต่อว่า “คืออะไรละ” คำตอบที่ได้รับที่แผ่วมาในสายลมยิ่งเหมือนจะบางเบาลงไปอีก คำตอบนั้นฟังได้ว่า “ตัวกูของกู”! (คำนี้เมื่อได้ยินแล้วก็ให้หวนคิดถึงอริยสงฆ์ผู้เป็นพุทธสาวกแท้อย่างท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมกขพลารามขึ้นมาตะหงิดๆ) ทำไมโรคชื่อ “ตัวกูของกู” จึงรุนแรงและน่ากลัวกว่า “โควิด-19” ที่บางใครอธิบายว่าถ้า “วัคซีนมาช้าหรือใช้ไม่ได้ผล รับรองโลกมนุษย์ถล่มทะลายแน่”! มีคำอธิบายว่า เพราะคนคิดว่ามี “ตัวกูของกู” อยู่ จึงเป็นเหตุให้เกิด “ของกู” ตามมาอีกมากมาย ทั้งพ่อแม่กู พี่น้องกู โรงเรียนกู วัดกู บ้านกู เมืองกู ประเทศกู เมียกู ผัวกู ลูกศิษย์กู ครูกู เพื่อนกู พวกกู ความคิดกู เงินกู จนถึงกระทั่งแม้ “พรรคกู”ฯลฯ ความคิดเรื่อง “ของกู” ที่มักเป็นเหตุเกิดของความสมหวังและผิดหวังนี่เองที่มักเป็น “เหตุ” ก่อ “ทุกข์” ที่ยั่งยืนคือไม่สิ้นสุดให้กับมนุษย์ เหตุแห่งวิธีคิดเกี่ยวกับเรื่องตัวกูของกูได้รับการ “ปรุง” และการขยายขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่ง เมื่อสังคมมนุษย์ได้พัฒนาระบบความสัมพันธ์ทางการผลิตเข้าสู่ระบบ “ทุนนิยมบริโภค” ระบบนี้ได้กระตุ้นกิเลสมนุษย์ให้ต้องการเอาชนะทั้งต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและต่อโลกธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงอย่างรุนแรง และรวดเร็ว ก่อเกิดการแข่งขันเปรียบเทียบที่ส่งผลต่อการทำลายล้างทั้งต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลอย่างไม่เห็นจุดสิ้นสุด กล่าวโดยเนื้อหา “โรคตัวกูของกู” จึงนับเป็น “เหตุ” ของโรคระบาดทุกชนิดอย่างจริง เป็นโรคระบาดที่รุนแรงและน่ากลัวที่สุด แม้มีผู้ค้นพบ “วัคซีน” ในการปราบโรคดังกล่าวนี้(เท่าที่ทราบ)มาแล้วตั้งเมื่อ 2500 กว่าปีก่อนโน้น แต่ก็พบว่า วัคซีนดังกล่าวไม่ได้รับการนำไปใช้จริงในเชิงปฏิบัติสักเท่าใดนักส่วนใหญ่ถูกนำไปเป็นต้นแบบเพื่อทำวัคซีนปลอมเพื่อค้าขายหากำไรเงินทองเสียมากกว่า! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ทรงลงมือปฏิบัติคิดค้นจนพบวัคซีนแก้โรคระบาด “ตัวกูของกู” ที่เรียกว่า “วิถีแห่งพุทธธรรม” ที่มีแก่นธรรมอยู่ที่ “อริยมรรคมีองค์ 8” อาจทรงพิจารณาเห็นถึงปรากฏการณ์นี้มาก่อนแล้ว จึงได้ก่อเกิดตำนาน “พุทธทำนาย” ดังที่รู้ๆกันไว้ให้แจ้งแล้วว่าท้ายสุด “มนุษย์” จะพินาศล่มจมอย่างไร! ก็ไม่แน่ใจนักว่าบรรดาผู้นำของประเทศสยามไทยแลนด์ทั้งหลายที่มักชอบชอบโม้ว่า ประเทศไทยนั้นเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแห่งโลก จะเห็นถึงความเป็นจริงข้อนี้บ้างหรือเปล่า เพราะเท่าที่เห็นก็ล้วนยังลุ่มหลงอยู่ในตัวกูของกู(แบบรุนแรง)แทบจะทั้งสิ้น ไม่เคยจะมีแม้สักครั้งเดียว ไม่เคยจะมีพรรคที่มีอำนาจทางการเมืองแม้สักพรรคเดียว ไม่เคยจะมีนายกรัฐมนตรีสักคนเดียวฯลฯ ที่จะนำหลักธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องนำทางในการพัฒนาประเทศ ที่เห็นมาตลอดก็คือการไปสมาทานรับเศษความคิดของฝรั่งมังค่ามาเป็น “เครื่องนำทาง” ทั้งของตัวเองและของประเทศทั้งสิ้น!! ดังนั้น เมื่อโควิด-19 ระบาด ก็จึงต้องระบาดตามเขาไปด้วย จะป้องกันก็ต้องคอยวัคซีนเหลือใช้ของพวกเขา อย่างนี้แหละที่เรียกว่า เห็นช้างขี้อยากขี้ตามช้างๆ ทั้งๆที่ตัวเองมีก้นเล็กเพียงนิดเดียว จะเอาตูดที่ไหนไปขี้ตามช้างได้ เมื่อไหร่จะสรุปบทเรียนกันจริงๆจังๆซะที ว่าต้องช่วยกันสร้างระบบเพื่อป้องกันการขยายลามของปัญหา “ตัวกูของกู” ให้ได้ให้มากที่สุดตามระบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานเป็นมรดกของแผ่นดินไว้แล้ว ชาวบ้านร้านช่องเขาจะได้รับ “ของขวัญปีใหม่” ที่ดี ที่จริง และที่งามกับเขาบ้าง!!!!