สถาพร ศรีสัจจัง มีการตั้งคำถามกันเล่นๆว่าสิ่งที่เรียกว่า “ผู้นำ” หรือ “ผู้ปกครอง” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของสังคมไทย จะมีสักคนไหม ที่พอจะมี “ภาพ” เกี่ยวกับการเสียสละตนเพื่อมหาชนและสังคมแบบพิสูจน์ได้ว่า ทั้งชีวิตไม่เคยคิด “คอร์รัปชัน” หรือ “ฉ้อฉล” ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเพื่อ “ตักตวง” ผลประโยชน์ และ “อามิส” เพื่อตนเอง ครอบครัว และ พวกพ้อง จนสามารถเทียบได้กับผู้นำอย่างมหาตมะ คานธีของอินเดีย/โฮจิมินห์ของเวียดนาม/หรือ เออร์เนสโต “เช” เกวารา แห่งลาตินอเมริกา (เคยเป็นรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทางทหารในประเทศคิวบาหลังการปลดแอกประเทศจากเผด็จการสมุนของจักรวรรดินิยมได้สำเร็จ?) ลองมาดูตัวเลขทางการเงินการทองที่ “ชี้” ภาพว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของสังคมเราดำรงอยู่อย่างไรกันสักเล็กน้อยพอเป็นสังเขปก่อนน่าจะดีกว่า ลองดูตัวเลขที่เขาเพิ่งประกาศมาหมาดๆเมื่อไม่นาน เกี่ยวกับบัญชีทรัพย์สินของข้าราชการทหาร และตำรวจไทยระดับ “ผู้บัญชาการ” ทัพต่างๆกันก่อน เพราะตัวเลขยังสดใหม่อยู่ ดูแล้วก็ลองติดกันเองก็แล้วกันว่ามันชี้บอกถึงดรรชนีของความเหลื่อมล้ำและความพิกลพิการของสังคมไทยอย่างไรบ้าง บัญชีทรัพย์สินที่บรรดาท่าน “ผบ.” กองกำลังจัดตั้ง (ติดอาวุธ) ระดับชาติไทยทั้งหลายแจงนับ(เฉพาะที่แจ้งให้ทราบ)กับองค์กรตรวจสอบ(รวมของคู่สมรส) หลังเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2563 (สิ้นเดือนกันยายน) มีรายละเอียดที่น่าสนใจมาก ดังนี้ : 1.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด-พลเอกพรพิพัฒน์ เบญญศรี มีทรัพย์สิน(รวมคู่สมรส)ทั้งสิ้น 82,690,590.บาท มีหนี้สิน 3,754,654.บาท 2.ผู้บัญชาการทหารบก-พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์(รวมภริยา)มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 157,034,676 บาท/ไม่มีหนี้สิน 3.ผู้บัญชาการทหารเรือ-พลเรือเอกลือชัย รุดดิษฐ์กับภริยา มีทรัพย์สินรวม 198,888,214.บาท/หนี้สิน 481,915 บาท 4.ผู้บัญชาการทหารอากาศ-พลอากาศเอกมานัต วงษ์วาท และภริยา มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 81,814,487.บาท/หนี้สิน 16,470,657.บาท 5.ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ-พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดาและคู่สมรส มีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 983,303,742.บาท/มีหนี้สิน 60,000 บาท!((ไชโย-ลงท้ายตำรวจก็ชนะเลิศเช่นเคย-ขอแสดงความยินดีกับผู้ว่าฯกรุงเทพฯคนใหม่เอี่ยมล่วงหน้าด้วยนะคร้าบ....!) ลองมาดูตัวเลขและหัดคิดเลขกันเล่นๆลับสมองกันอีกสักชุดก็แล้วกัน...เมื่อไปดูเงินเดือนระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพและผบ.ตร.แล้วก็พบว่า มีเงินเดือนประมาณ 75,590.บาท บวกกับเงินประจำตำแหน่งอีก 50,000.บาท รวมเป็นเงิน 125,590.บาท ตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ทำรัฐประหาร ตั้งคณะคสช.ขึ้นปกครองประเทศ ทำให้ตำแหน่งเหล่านี้ได้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกและเป็นสมาชิกคสช.ซึ่งได้รับเงินเดือนด้วย เงินเดือนทั้ง 2 ตำแหน่งหลังนั้นรวมกันก็จะได้ประมาณ 2 แสนกว่าบาทหน่อยๆ รวมกับที่ได้รายเดือนประจำก็จะได้ประมาณเดือนละ 3 แสน 5 หมื่นบาท สมมติว่าพวกเขามีค่าใช้จ่ายประจำเดือน(เช่นให้ลูกเมีย/ซื้อหวย/และอื่นๆ)สักคนละ5หมื่น ก็จะเหลือ3แสนไว้เพื่อเป็นเงินเก็บ(นี่คิดหยาบๆที่สุดแล้ว)ปีหนึ่ง12เดือนก็จะได้คนละประมาณ 3ล้าน5แสนบาท/คิดเหมารวมตามอายุ คสช.คือ5ปี ก็จะได้เก็บคนละประมาณ 17ล้านเป็นอย่างสูง! ที่นี้ลองใช้จินตนาการแบบไอน์สไตน์ดูสักหน่อยก็ได้ว่า เฉพาะตัวเลขที่เขาแจ้งมีความสัมพันธ์กับตัวเลขที่คิดหยาบๆให้ดูยังไงบ้าง? แน่ละ-อาจมีคำตอบรออยู่หลายขุด ที่จะอธิบายถึงที่มาของทรัพย์สินเหล่านั้น เช่น เมียผมรวย ถูกลอตเตอรีรางวัลใหญ่ เล่นหุ้น เล่นที่ดิน เล่น..ฯลฯ ที่ยกมาครั้งนี้ เป็นเพียงเรื่องของข้าราชการประจำ ที่ใครต่อใครก็บอกว่า “ยากที่จะรวย” ยังไม่นับพวกที่คนโบราณเรียกว่า “พ่อค้าพระยาเลี้ยง” นะนี่ คราวหน้าจะลองยกมาแผ่ดูกันสักเล็กน้อยก็ได้ ว่าจะให้ภาพความเหลือมล้ำแบบที่เห็นแล้วขนหัวต้องลุกชันอย่างไร รู้ใช่ไหม?เฉพาะ “มาดามแป้ง” คุณนวลพรรณ ล่ำซำ ที่ถูกจัดเป็นคนรวยของประเทศแถวหลังๆเพียงตนเดียว เท่าที่เพิ่งเปิดเผยก็มีตั้งกว่า 4 พันล้านเข้าไปแล้ว อย่างนี้ไม่ให้เรียกว่า “โคตรเหลื่อมล้ำ” แล้วจะให้เรียกว่าอะไรละ!!!!!