สถาพร ศรีสัจจัง ใครที่ต้องทำหน้าที่อยู่กับตัวเลขจริงเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ของสภาพัฒน์ฯ หรือสถาบันที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์วิจัยทางเศรษฐกิจทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น TDRI สถาบันศศินทร์ของจุฬา หรือสถาบันชั้นสูงอย่าง “นิด้า” ฯ ย่อมจะต้องปวดตา ปวดหัว และ(อาจ)ปวดใจ ค่าที่ตัวเลขความเหลื่อมล้ำทางสังคมของคนไทยยิ่งนานวันก็ยิ่งหนักหน่วงยิ่งขึ้นทุกทีๆ เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2504 โน่น (ครบ 6 ทศวรรษปีนี้พอดี) จะจัดทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของคนได้เปรียบทางสังคมกลุ่มน้อยกระจุกเดียว ที่ยิ่งใช้แผนพัฒนา คนกลุ่มนี้ก็ยิ่งรวยขึ้น แบบแล้วรวยอีกไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยิ่งจนลงและยากลำบากในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ลองดูตัวเลขเอาเถิด คนรวยที่สุดของสังคม 10 เปอร์เซ็นต์แรก มีรายได้รวมกันถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ส่วนคนจน 20 เปอร์เซ็นต์ที่อยู่ฐานล่างสุดมีรายได้รวมกันเพียงร้อยละ 1.6 ของรายได้มวลรวมทั้งหมด ห่างกันถึง 25.2 เท่า! สถาบันศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์ฯ เสนอผลการวิจัยบอกว่า สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมแยกได้เป็น 3 เรื่องหลักๆ คือ 1)ความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งและรายได้ (Health & income Inequality) 2)ความเหลื่อมล้ำด้านการกระจายโอกาส(Opportunity Inequality) และ 3) ความเหลื่อมล้ำด้านอำนาจ(Power Inequality) ในความเหลื่อมล้ำ 3 ด้านดังกล่าว แตกออกเป็นรายละเอียดเป็นหัวข้อย่อยๆอีกหลายหัวข้อ เช่น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร ความเหลื่อมล้ำในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายต่างๆ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เป็นต้น ที่น่าสนใจก็คือ ยิ่งนานวัน ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนในสังคมไทยก็ยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำขึ้นแบบน่ากลัว การแข่งขันยิ่งสูง ทุนนิยมผูกขาดก็เกิดเร็วและหนักขึ้นเรื่อยๆ โครงสร้างทางสังคมก็ยิ่งอ่อนแอ คนยิ่งยากจนก็ยิ่งโง่และเจ็บ ยิ่งติดยา ยิ่งเป็นเหยื่อของสินค้าบริโภคนิยม ช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทยิ่งถูกถ่างกว้างขึ้น ฯลฯ เมื่อเปรียบเทียบความก้าวหน้าในการพัฒนาประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็อาจกล่าวได้ว่าไทยเราหยุดนิ่งอยู่กับที่มายาวนานมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และการพัฒนาด้านสังคม วัฒนธรรม ขณะที่เพื่อนบ้านล้วนไปไกลกันแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะเวียดนาม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจคือปัจจัยและต้นเหตุหลักที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านอื่นให้เกิดตามมา เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมในเรื่องนี้ ลองดูตัวเลขล่าสุดในการจัดอันดับคนรวยเมืองไทยว่ามีสินทรัพย์ไปกองอยู่บนตักคนหรือตระกูลเหล่านั้นอย่างไรบ้าง(โดยการใช้ทรัพยากรของสังคมไทยทั้งสิ้น) รวยอันดับหนึ่งยังเหมือนเดิมคือคุณธนินทร์ เจียรวนนท์ แห่งซีพี และ เซเว่น อีเลฟเว่นฯลฯ (เพิ่งซื้อ “โลตัส” ไปแค่หมื่นกว่าล้านยูเอสดอลลาห์)มีสินทรัพย์ 2.73 หมื่นล้าน (เหรียญสหรัฐฯ)/ ที่ 2 คุณเฉลิม อยู่วิทยา(ที่หลานชายขับรถชนตำรวจตายนั่นแหละ) 2.02 หมื่นล้าน/ ที่ 3 คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี (เจ้าพ่อน้ำเมา) 1.05หมื่นล้าน/ต่อด้วยตระกูลจิราธิวัฒน์(เซ็นทรัล) 0.95 หมื่นล้าน/นายสารัชต์ รัตนาวดี 6.8 พันล้าน(เหรียญสหรัฐฯ)/นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา 3.8 พันล้าน/นายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ 3.10 พันล้าน/ตระกูลโอสถานุเคราะห์ 3.0 พันล้าน/นายวานิช ไชยวรรณ 2.8 พันล้าน/นายชูชาติ และ คุณดาวนภา เพชรอำไพ 2.65 พันล้าน/นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ 2.6 พันล้าน/ฯลฯ ตามมาด้วยกลุ่มคนรวยกระจุกอีกหลายราย เช่น นายกฤตย์ รัตนรักษ์/นายคีรี กาญจนพาสน์/นายสันติ ภิรมย์ภักดี/นายวิชัย ทองแตง/นายสมโภชน์ อาหุนัย/นายฤทธิ์ ธีระโกเมน/และคุณศภลักษณ์ อัม พุช เป็นต้น ส่วนนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีศาลไทยอยู่ต่างประเทศนั้น ยังถูกจัดให้เป็นคนรวยอันดับที่ 16 ของประเทศไทยปัจจุบัน โดยบอกว่ามีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 1.85 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ดูความมั่งคั่งของบรรดามหาเศรษฐีเหล่านี้แล้วพอนึกออกไหม ว่าเหตุแห่งความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเกิดจากเหตุอะไร? หรือจะไม่ใช่เพราะความเหลื่อมล้ำด้านอำนาจเป็นต้นเหตุ แต่หลายใครบอกว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่ผ่านๆมานั่นแหละ คือเหตุรูปธรรมแห่งความเหลื่อมล้ำล่ะเพราะเจ้า “แผน” พวกนั้นเอง ที่เป็นเหตุให้พวก “มีทุน” หรือ “พวกคนรวย” สามารถใช้จุดอ่อนและช่องว่างตักตวงผลประโยชน์และ “กำไร” กันได้อย่างเต็มคราบ!!!