สถาพร ศรีสัจจัง มี “ผู้รู้” บางคนนำเสนอว่า ที่สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ไปไม่ถึงไหน ทั้งๆที่น่าจะเป็นสังคมซึ่งพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ในแง่ “สังคมอุดมสุข” เพราะพื้นที่ซึ่งเป็น “ประเทศไทย” ปัจจุบันที่เคยเป็น “ดินแดนสุวรรณภูมิ” มาตั้งแต่ยุคพุทธกาลนั้น เป็นสังคมที่โชคดี เพราะมีพระ “สัทธรรม” คำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแผ่บารมีมาถึงตั้งแต่ยุคต้นๆของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่สำคัญก็คือเมื่อ “พุทธธรรม” คำสอนของพระสมณโคดมพระองค์นั้นแผ่มาถึงแล้ว พระธรรมดังกล่าวก็ซึมซาบลงในจิตใจของผู้คนในแผ่นดินแห่งนี้อย่างลึกซึ้ง มีการสถาปนาและพัฒนาทั้งในส่วนที่เป็น “ปัญญา”และ “ศรัทธา” อันเป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาที่ดำเนินร่วมกันไปอย่างมีดุลยภาพ ต่อเนื่องและยาวนานนับพันปี หลอมประสานสิ่งที่เรียกว่า “ทางโลกย์” และ “ทางธรรม” ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะโดยเสมอมา จนกระทั่งอาจกล่าวได้ว่า พื้นที่สังคมไทยเป็นพื้นที่แห่งเดียวที่พระพุทธศาสนาได้สถิตย์เสถียรสถาพรลงอย่างมั่นคงและสืบทอดต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก แม้แต่ชมพูทวีปหรืออินเดีย เนปาล ที่ถือเป็นแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนาของโลกเอง ก็ไม่สามารถสืบต่อพระธรรมแห่งพระพุทธศาสนาได้ จนถูกถล่มทำลายล่มสลายหายไปด้วยเหตุปัจจัยทางสังคมในอดีตของดินแดนแห่งนั้นอย่างน่าเอน็จอนาถอย่างที่รู้ๆกัน จนถึงยุคปัจจุบันที่เริ่มมีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนากันขึ้นใหม่ ก็ล้วนเป็นกลุ่มชาวพุทธจากดินแดนสุวรรณทวีปในอดีต คือ “ไทยแลนด์” แห่งนี้แหละที่ไปช่วยลงแรงลงทุนฟื้นฟูขึ้น ไม่ว่าแนวทางการไปช่วยฟื้นฟูนั้นจะมี “มิจฉา” แทรกปนอยู่ในด้านใดด้วยหรือเปล่าก็ตาม! เพราะยิ่งนานวัน ก็เหมือนกับพระพุทธธรรมคำสอนแต่ดั้งแต่เดิมของพระศาสดา ในดินแดนที่เป็น “ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก” แห่งนี้ จะยิ่งเสื่อมทรามลง เสื่อมทรามลงด้วยความ “มิจฉา” ของบรรดาผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้สืบพระศาสนา ทั้งที่โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม และในขณะเดียวกัน “อำนาจทางโลกย์” ที่เรียกว่า “รัฐ” ก็ยิ่งแผ่คลุม “อำนาจธรรม” แบบพุทธในจิตใจผู้คนในดินแดนสุวรรณทวีปเดิมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีการเปลี่ยนชื่อ “รัฐชาติ” สมัยใหม่แห่งนี้จาก “สยาม” มาเป็น “ไทยแลนด์” ปัจจุบัน สิ่งที่เป็น “ระบบคุณค่า” ดั้งเดิมของดินแดนแห่งนี้ก็ยิ่งเหมือนจะตกต่ำลงในทุกด้าน ค่าที่ชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆ (แต่กุมอำนาจรัฐ)นับวันก็ยิ่งไปสมาทานรับเอาวิถี “ความสัมพันธ์ทางการผลิต” (Relative production) แบบทุนนิยมตะวันตกซึ่งมุ่งกระตุ้น “กิเลส” ที่เป็นตัวเพิ่มความเข้มข้นของ “อัตตา” หรือสำนึกแบบ “ตัวกูของกู” หนาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นลูกกะโล่ของ “ทุนนิยมโลก” ไปเรียบร้อยแล้ว วิถีชีวิตและรูปแบบความสัมพันธ์ทางผลิตที่อิงอยู่กับ “เศรษกิจเชิงพุทธ” หรือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ผลิตวัฒนธรรมแบบ “พึ่งตนเอง- พึ่งพิงกันและกัน-มุ่งองค์รวม” ที่เป็นเหมือน “ราก” ของสังคมมาอย่างยาวนานจึงพังครืนลง กลายเป็น “สังคมรากขาด” ก่อเกิดวัฒนธรรม “ตัวใครตัวมัน” หรือ “ใครมือยาวสาวได้สาวเอา” หรือ “ปลาใหญ่กินปลาน้อย” ขึ้นแทนที่อย่างรวดเร็ว สิ่งที่ตามมาก็คือสังคมที่ “รวยกระจุก จนกระจาย” สังคมที่ไร้คุณธรรม-จริยธรรม เกิดอาชญากรรมทุกด้านอย่างกว้างขวาง ยาเสพติดแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เกิดการกดขี่ทุกรูปแบบขึ้นในสังคม ตั้งแต่การกดขี่ทางเศรษฐกิจจนถึงการกดขี่ทางเพศ ฯลฯ สังคมที่เต็มไปด้วย “อำนาจนิยม” นำมาซึ่งความคดโกงฉ้อฉล ทุจริต เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ และที่สุดก็คือผู้คนส่วนใหญ่กลายเป็นพวกจิตใจสามานย์ ไปโดยไม่รู้ตัวฯลฯ ในสังคมเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะมีความสงบสุขสันติของชีวิตผู้คนเลย แม้สิ่งที่เรียกว่าสิทธิเสรีภาพ ซึ่งระบบเสรีประชาธิปไตยทุนนิยมที่ชนชั้นกลุ่มผู้กุมอำอาจ (ในห้วงเวลาไม่เกิน 1 ศตวรรษที่พ้นผ่าน) ไปสมาทานรับมาเป็นเครื่องมือ “พัฒนาสังคม” ผลักดันให้คนยิ่งเติมเต็มอัตตา คือความเห็นแก่ตัวและพวกพ้อง กฎหมายปกครองบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยช่องว่างช่องโหว่ยิ่งเปิดโอกาสให้คนมีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ ใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ข่มเหงและเอารัดเอาเปรียบคนจนหรือคนที่อ่อนแอกว่าในทุกช่องทางทั้งทางตรง และทางอ้อม หรือนี่จะไม่ใช่ “เหตุ” หรือที่มาของความรุนแรงและความขัดแย้งทางสังคมในรูปแบบต่างๆอย่างที่ประจักษ์ตาประจักษ์ใจคนไทยมาตั้งแต่เมื่อเกือบ 100 ปีก่อนโน้น จนบัดนี้ “ทุกขเวทนา” ดังกล่าวก็ดูจะยังมิซาสร่าง ทั้งยื่งนับวันก็ยิ่งดูจะหนาหนักขึ้น!!!!