แสงไทย เค้าภูไทย วันอาทิตย์ 4 เม.ย นี้ จะมีม็อบสามัคคีประชาชน โดย จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.เป็นผู้นำ จุดประสงค์ขับไล่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการเชิญชวนนักเคลื่อนไหวทั้งด้านการเมืองและองค์กรมาชุมนุมคับคั่ง ตามข่าวสื่อออนไลน์ เห็นรายชื่อผู้ได้รับเชิญมาร่วมเวทีปราศรัยก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นแล้ว เพราะแต่ละคนระดับแม่เหล็ก สามารถปลุกระดมมวลชนได้ฉมัง อาทิ วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชันไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) สมชาย หอมลออ ที่ปรึกษาสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการ สตง. น.ส.ณัฎฐา มหัทธา หรือโบว์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง เยี่ยมยอด ศรีมันตะ กลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย น.ส.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ เลขาธิการองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-Net) และกมล กมลตระกูล กรรมการนโยบาย สภาของผู้บริโภค เป็นต้น ล้วนมืออาชีพทั้งสิ้น เทียบกับม็อบราษฎรและแนวร่วมที่ออกมาเดินกันแทบจะวันเว้นวันแล้ว ต้องบอกว่า คนละชั้น ก่อนหน้านี้ จตุพรเคยเตือนม็อบเด็กทั้งหลายไว้ว่า การตั้งเป้าหมายในการก่อม็อบนั้น อย่าตั้งหลายข้อ เพราะจะสับสน และสร้างแนวต้านหลายด้าน แต่ม็อบเด็กยังยึด 3 ข้อเรียกร้อง คือให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เดินกันมาตั้งแต่เป็นม็อบแฮมทาโร่มาจนเป็น patka เป็ดยางเหลืองก่อนโควิด-19 มาจนยกระดับเป็นม็อบคณะราษฎรข้ามปีมาถึงวันนี้ ยังไม่มีอะไรคืบหน้า บิ๊กตู่ยังอยู่ต่อ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถูกลีลาส.ส.เขี้ยวลากดินาตีรวนจนทำท่าจะไปต่อไม่ได้ ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ก็กลายเป็นเงื่อนไขก่อเกิดแนวต้าน ด้วยข้อหาเป็นพวก “ล้มเจ้า” ม็อบที่ประสบความสำเร็จเท่าที่ผ่านมานั้น ตั้งเป้าหมายหรือจุดประสงค์เดียว อย่างเช่นขับไล่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลเท่านั้น ตัวอย่างที่ดีคือการต่อต้านรัฐบาลจนเกิดพฤษภาทมิฬ 35 เป็นต้น หรือแม้แต่ล่าสุด กปปส.ที่ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่แม้จะไม่สำเร็จด้วยตัวเองเหมือนครั้งพฤษภาทมิฬ 35 แต่ก็สามารถดึงทหารออกมายึดอำนาจได้ นี่เองกระมังที่ทำให้จตุพรตัดสินใจกลับมาเป็นผู้นำมวลชนเคลื่อนไหวอีกครั้ง จุดประสงค์เดียวคือ ขับไล่พลเอกประยุทธ์ จากการเฝ้ามองสถานการณ์ ทั้งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลและฝ่ายสนับสนุน หรือม็อบจัดตั้งตอบโต้ จตุพรมองว่าพลเอกประยุทธ์ตกต่ำถึงขีดสุดแล้ว เป็นผลไม้ที่สุกงอมคาต้น ใกล้ร่วงหล่นเต็มที คนที่เห็นแบบเดียวกันอีกคนคือทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาแสดงวิสัยทัศน์และร่วมเคลื่อนไหวกับผู้สนับสนุนผ่านสื่อดิจิทัลถี่จนแทบจะเรียกได้ว่า “ทักษิณรายวัน” คงไม่ใช่ความบังเอิญ กับม็อบ 4 เมษาฯ การขับไล่นายกฯด้วยม็อบนั้น คงยากที่จะสำเร็จ เว้นเสียแต่จะมีกองทัพหรืออำนาจเหนือกองทัพสนับสนุน การยึดอำนาจของกองทัพที่ผ่านๆมาในประวัติศาสตร์ ผู้ยึดอำนาจการปกครอง หรือถึงขั้นล้มราชวงศ์ ล้วนเป็นผู้ที่คุมกำลังกล้าแข็งที่สุดของชาติทั้งสิ้น การใช้พลังมวลชนเพื่อล้มล้างการปกครองหรือขับไล่ผู้นำรัฐบาลนั้น ทำได้แค่สร้างความเสื่อมหรือชี้ให้เห็นว่าผู้นำไม่ชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป อย่างกปปส.นั้น ก็ไปขอให้พลเอกประยุทธ์เข้ามายึดอำนาจจึงต้องมี “ซูเปอร์เพาเวอร์” เข้ามาจัดการ หรือครั้งพฤษภาทมิฬ 35 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็ทรงพระเมตตาระงับเหตุด้วยการโปรดเกล้าฯให้พลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีที่ถูกขับไล่กับ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำมวลชนครั้งนั้นเข้าเฝ้าฯเบื้องพระยุคลบาท จนสามารถระงับเหตุได้ นี่ก็เข้าใกล้พฤษภาคมแล้ว จะมีเหตุการณ์ซ้ำรอย ประวัติศาสตร์เมื่อ 29 ปีมาแล้วหรือไม่ ?