แสงไทย เค้าภูไทย ตัวเลขติดเชื้อโควิด-19 ที่ลดเหลือตัวเลขเดี่ยวเมื่อสัปดาห์ก่อน วันอาทิตย์ที่ผ่านมากลับดีดขึ้นไปเกือบ 200 คน ส่วนใหญ่เกิดจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงส่งสัญญาณเตือนการระบาดระลอกที่ 3 เกิดแน่ หากคนไทยส่วนหนึ่ง ยังมักง่าย รักสะดวก รักสนุก การระบาดระลอกที่ 2 นั้นเป็นคลัสเตอร์ตลาดมหาชัย ลามไปทั่วสมุทรสาคร ตลาดสดจังหวัดข้างเคียง รุกเข้ามาถึงชานกรุงเทพฯด้านตะวันตกและจังหวัดใกล้เคียงเช่นนนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี เติมด้วยคลัสเตอร์บ่อนระยอง จนถึงขณะนี้เป็นตัวเลขเดี่ยวแล้วจากรุนแรงที่สุดเกือบพันคนต่อวัน แต่พอมาเกิดคลัสเตอร์ใหม่จากสถานบันเทิงย่านสุขุมวิท ตัวเลขกลับเด้งพรวดไปถึงหลักร้อยและเฉียด 200 คน ทำท่าจะเป็นการระบาดระลอกสาม นอกจากไทยแล้ว การกลับมาระบาดซ้ำในประเทศที่เคยระบาดรุนแรงหลังจากสยบไวรัสได้ชั่วระยะหนึ่ง อย่างเช่นจีนเมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ และเกิดประปราย คุมอยู่ในหลายเมือง แสดงว่า ถึงแม้จะจัดการไวรัสโควิดได้อยู่หมัด แต่มันก็ยังไม่ไปไกลจากเมืองที่มันเคยระบาดรุนแรง และพร้อมจะระบาดแบบปะทุขึ้นมาอีก สำหรับชาติที่มีการระบาดรุนแรง สหรัฐฯยังเป็นผู้นำ แต่จำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันลดลงเหลือระดับ 3.6 หมื่นคน โดยอินเดียแซงขึ้นมา ระดับ 103,793 คน เป็นชาติที่ติดเชื้อต่อวันสูงที่สุดในโลกในขณะนี้ ด้านอัตราเสียชีวิต บราซิลแม้ตัวเลขติดเชื้อจะน้อยกว่าสหรัฐฯ กว่าเท่าตัว ทว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตกลับมากกว่าโดยสัดส่วน ที่เป็นดังนี้เพราะไวรัสที่บราซิลเป็นเชื้อกลายพันธุ์ ทำให้วัคซีนรุ่นเก่า โดยเฉพาะซิโนแวคจากจีนจัดการได้เพียงส่วนน้อย คือมีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสได้ราว 40-46% เท่านั้น การที่จำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันทั่วโลกยังลดลงไม่มาก ทำให้โอกาสที่ไทยจะ reopen เปิดเมืองตามที่กำหนดไว้อาจจะต้องเลื่อนไปจนถึงปลายปี นักท่องเที่ยวตามคาดหวังจะเข้ามายังคงเป็นจีน ที่แม้จะมีการติดเชื้อระดับต่ำอยู่ในกลุ่มต่ำสิบ คือสิงคโปร์ เวียดนาม ฮ่องกง กัมพูชา เมียนมา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ แต่กระนั้นยังวางใจไม่ได้ เพราะแม้แต่บ้านเราเอง ซึ่งไทยเคยอยู่ในกลุ่มต่ำสิบ แต่พอการ์ดตก ก็เกิดคลัสเตอร์ติดเชื้อใหม่ขึ้นมาจนกลับไปอยู่หลักร้อย ตัวกระตุ้นยอดติดเชื้อเพิ่มอีกตัวคือการสนับสนุนเงินของรัฐบาลให้คนไทยนำไปใช้จ่าย กิน เที่ยวเพื่อกระตุ้นยอดเติบโตจีดีพี นักท่องราตรีที่ทำให้ผับ บาร์ กลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ที่อาจนำไปสู่การระบาดระลอก 3 ถือเป็นสถานที่เสี่ยงยิ่งยวด เพราะลูกค้าเข้าไปนั่งดื่ม กิน สรวลเสเฮฮาย่อมไม่ใส่หน้ากากอนามัย และไม่รักษาระยะห่างร่างกาย ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนลมหายใจ ละอองฝอยจากการพูดคุย หัวเราะที่อบอวลไปทั่วห้อง ตามปกติแล้ว ในกรณีต่างไม่สวมหน้ากากทั้งคู่ ระยะห่างไม่เกิน 90 เซนติเมตร จะสูดรับลมหายใจติดเชื้อประมาณ 20 อนุภาคต่อนาที ตรงข้ามกับการอยู่ในที่โล่ง หากมีการแพร่เชื้อทางลมหายใจ จะรับเชื้อราว 8 อนุภาคต่อนาทีเท่านั้น ส่วนละอองฝอยจากการพูดคุยเสียงดังในที่อับ จะได้รับเชื้อนาทีละ 200 อนุภาค แต่ถ้าเกิดไอ จาม ขาก ถุย เชื้อจะออกมาจากปาก จมูกเป็นละอองฝอย (droplets) ถึง 200 ล้านอนุภาค ผู้ที่เข้าข่ายติดเชื้อนั้น อยู่ที่การได้รับเชื้อ 1,000 อนุภาค ส่วนการติดทางการสัมผัสนั้น หากไม่นำมือที่สัมผัสสิ่งของไปถูกหน้า และล้างมือด้วยสบู่หรือเช็ดด้วยเจลฆ่าเชื้อ ก็ติดเชื้อได้ยาก ข้อมูลและคำแนะนำลักษณะนี้ว่อนอยู่ทั่วสื่อทุกประเภท แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ระวังและประมาทกันจนเกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน ถ้ายังไม่ใช้กฎหมายคุมเข้มเด็ดขาด จับปรับคนไม่สวมแมสก์หรือสวมแบบรั่วๆคนไทยก็จะยังติดเชื้อโควิดกันไม่รู้จบเช่นนี้