สถาพร ศรีสัจจัง เป็นที่ทราบกันดีว่าการเกิดสิ่งที่เรียกว่า “รัฐชาติ” (Nation State) ขึ้นในโลกยุคใหม่ (จากอดีตเมื่อไม่นานนักจนถึงยุคปัจจุบัน) โดยเฉพาะในแถบถิ่นสุวรรณภูมิ,อุษาคเนย์ หรือเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วแต่จะเรียกนั้น มีที่มาที่มีลักษณะจำเพาะเป็นของตนเองสูง มากบ้างน้อยบ้าง กล่าวจำเพาะ ลงที่ “สยาม” หรือ “ไทยแลนด์” ในปัจจุบัน กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดต่อกัน เช่น พม่า (“เมียนมา”) /ลาว(สปป.ลาว)/เขมร(กัมพูชา)/และ “มลายา” (มาเลเซีย) ยิ่งมีเรื่องราว “ภายใน” ที่มีเหตุจำเพาะเรื่องความเป็นมาเกี่ยวกับ “ความขัดแย้งภายใน” ของตัวเองที่แตกต่างกันไป จะว่าไปทำไมมี กล่าวเฉพาะ “สยาม” หรือประเทศไทยของเราในปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า “รัฐชาติ” ที่ค่อนข้างจะเป็นเอกภาพ เพิ่งเกิดขึ้นก็เมื่อช่วงของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 คือพระบาทสมเด็จฯพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี่เอง พระราชภารกิจในการสร้างความเป็นเอกภาพ จนสามารถหลอมรวมดินแดนและชาติพันธุ์ขึ้น จนเกิดสิ่งที่เห็นเป็น “ชาติไทย” ในปัจจุบันนั้น เต็มไปด้วยพระราชกุศโลบายอันชาญฉลาด ทรงกล้าหาญและอดทน ทรงกล้าเสียสละกล้าต่อสู้ เพื่อป้องกันเหตุปัจจัยแห่งความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสีย โดยเฉพาะการสูญเสียชีวิตผู้คน ฯลฯ เป็นอย่างสูง ท่านใดที่สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะในเรื่องพระราชกุศโลบายเรื่องการหลอมรวม “นครรัฐ” และ ชาติพันธุ์ต่างๆขึ้นเป็น “รัฐชาติสยาม” อย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน คงต้องหาทาง “ลงลึก” ไปศึกษาเอาโดยตัวเอง เพราะดูเหมือนเอกสารเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว มีผู้สนใจศึกษาวิจัยและรวบรวมเรียบเรียงขึ้นนำเสนอไว้แล้วเป็นจำนวนมาก วันนี้เราจะคุยกันหยาบๆในเรื่องที่เกี่ยว “รัฐชาติ” เพื่อนบ้านเรา ที่มีชื่อเต็มในปัจจุบันว่า “สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา” (union of Myanmar)หรือ “พม่า” ที่นักประวัติศาสตร์ไทยในอดีตหลายคนเรียบเรียงประวัติศาสตร์ให้นักเรียนอ่านในทำนองเป็น “อริราชศัตรู” ของสยามมาตลอดนั่นแหละ! ความรับรู้ประการหนึ่งของคนไทยเราในปัจจุบันเมื่อพูดถึงพม่าก็คือ ประเทศนี้เป็นเผด็จการ ล้าหลัง มีความขัดแย้งทางชาติพันธุ์สูงมาก เพราะประเทศประกอบขึ้นด้วยชาติพันธุ์น้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก ที่คนไทยคุ้นๆกันก็เช่น กะเหรี่ยง มอญ ว้า ไทยใหญ่ และ คะฉิ่น เป็นต้น(ที่จริงยังมีชาติพันธุ์ย่อยอีกมากมาย) สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรามีความรู้เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะ แต่ละชาติพันธ์ที่กล่าวชื่อมา มักมีกองกำลังจัดตั้งติดอาวุธเป็นของตัวเอง และแสดงการ “ยืนหยัด” ต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธของรัฐบาลกลางพม่า มาโดยตลอดมา ตั้งแต่ครั้งนายพลเนวินทำรัฐประหารโน่นแล้ว(ไปหารายละเอียดเอาเอง) พูดในแง่นี้ เมื่อเปรียบเทียบกับ “สยาม” หรือไทยในปัจจุบันที่หลอมรวมชาติพันธุ์ต่างๆเกือบจะ 40 ชาติพันธุ์ (หรือมากกว่านี้?) ก่อตัวขึ้นเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ ดูเหมือนจะมีอยู่ไม่กี่ชาติพันธุ์ที่แสดงตัวชัดเจนว่า “ต่อต้าน” ที่ชัดๆจนถึงปัจจุบัน ก็เห็นมีเพียงชาติพันธุ์มลายูแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้เพียงหนึ่งเดียวละกระมัง แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นคนกลุ่มน้อยมาก เมื่อเทียบกับคนชาติพันธุ์พันธุ์ดังกล่าวที่ยอมรับ ว่าตนเองเป็นคนสังกัด “ชาติไทย” ในวันนี้! อย่างนี้แล้วเราจะไม่ให้เครดิตบรรดาองค์พระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะดำเนินการ ในเรื่องนี้มาด้วยความตระหนักพระทัยในความสำคัญได้อย่างไร โดยเฉพาะล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ที่ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้! กลับมาที่กรณี “พม่า” อีกที! เรื่องราวของพม่าฉาวโฉ่เป็นที่สนใจของชาวโลกอีกครั้งในเช้าวันที่ 1 กุมภาพันธุ์ ค.ศ.2021(พ.ศ.2564) คือเมื่อสัก 3 เดือนที่ผ่านมานี่เอง ในตอนเช้าของวันนั้น มีปรากฏการณ์สำคัญในพม่า กล่าวคือ คณะรัฐประหาร นำโดยพลเอกอาวุโส มินห์ อ่อง หล่าย เข้ายึดอำนาจรัฐ เข้าควบคุมตัวผู้นำทางการเมืองคนสำคัญๆของพม่าขณะนั้น คือ นางออง ซาน ซูจี มนตรีแห่งรัฐ/ประธานาธิบดี วิน มินต์ และบุคคลสำคัญอื่นๆไว้ได้เกือบจะทั้งหมด พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(NLD)ของนางซูจี ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งใหม่อย่างถล่มทลายถูกคณะรัฐประหารริบอำนาจในการปกครองรัฐไป ฯลฯ แล้วขบวนการต่อสู้และการเข่นฆ่า(ฟังว่าเพื่อสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย”)ครั้งใหญ่ในพม่าก็เกิดขึ้น!(อย่างมีนัยสำคัญ) หรือนี่จะเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “พม่าเผาเมือง” ดังคำเรียกที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศสารขันฑ์(ประเทศไทย?) คนเป็นนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ใหญ่ ที่ขื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนเป็นชื่อหนังสือตราเอาไว้แต่เมื่อครั้งนานมาแล้ว?!!!ฯ