สถาพร ศรีสัจจัง “ยุคสมัย” เป็นคำไทยชนิดคำประสม คือ ประสมระหว่างคำ “ยุค” กับคำ “สมัย” การนำคำมาประสมกันเช่นนี้ เป็นวิธีสร้างคำใหม่ของหลักภาษาไทยวิธีหนึ่ง คำที่นำมาประสมจนกลายเป็น “คำใหม่” อาจมีความหมายคล้ายเดิม หรืออาจเปลี่ยนความหมายไปโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้ แต่เนื่องจากใน “ยุคปัจจุบัน” (Contemporary period?) ดูเหมือนเรื่อง ภาษาไทย(Thai language)จะเป็นเรื่องเชยๆและค่อนข้างล้าหลัง ไม่มีความสำคัญ และไม่น่าสนใจในหมู่คนรุ่นใหม่(New generation) จึงไม่ควรอภิปรายให้ละเอียดหรือยกตัวอย่างให้รุ่มร่ามเสียเวลา เพราะนอกจากไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว(พวกคนรุ่นใหม่ไม่ชอบฟังเรื่องเกี่ยวกับความคิดความเห็นของคนอื่น นอกจากเรื่องของตัวเองและพวกเดียวกัน?) ก็อาจกลายเป็นเรื่องก่อความรู้สึกที่น่ารำคาญแก่พวกเขาเอาก็เป็นได้ อันนี้เป็นสิ่งต้องระวังสูงสุด เพราะอาจทำให้คนคุยหรือคนเขียน ถูก “คนรุ่นใหม่” ตีตราหรือจัดประเภทให้เป็นพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปีไปได้ง่ายๆ และจากนั้นสิ่งที่ “ยุคสมัย” นี้เรียกว่า “ทัวร์” ก็อาจก่อขบวนแวะมาเยี่ยมเพื่อ “รุมถล่ม” แบบหูดับตับไหม้เหมือนเสียงชุดปีนกล อย่างที่ทุกคน ย่อมรู้ๆเห็นๆกันอยู่ ก็การ “ปรามาส” หรือการตัดสินพิพากษาโดยพฤติกรรมที่คนรุ่นใหม่เรียกว่าการ “บูลลี่” (Bully)เช่นนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาทั่วไปของคน “ยุคดิทัล” ที่ชีวิตคนและชีวิตสังคมถูก “โปรแกรม”หรือถูกกำหนดระบบคุณค่าของวิธีคิด ด้วย “กระแส” ที่ปรากฏในระบบ “ออน ไลน์” (On line)ที่ทะลักหลั่งอยู่เชี่ยวกรากทั้งหลายไม่ใช่หรือ? ที่ต้องมีวงเล็บเป็นภาษาอังกฤษไว้หลังคำไทยหลายคำใน 2 ย่อหน้าก่อน ก็เพราะความเป็นกังวลว่าจะสื่อความกับคนรุ่นใหม่ที่ยึด “กระแสลมตะวันตก” เป็น “สรณะ” (To refuge)เหนือ “วัฒนธรรม”หรือ “ราก” ทางสังคมของตัวเองไม่ได้นั่นแหละ ! เพราะในยุคนี้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ถ้าสามารถทำได้ ควรต้องอ้างต่างชาติ(เจ้าอาณานิคมทางความคิด?)ไว้ก่อน จึงจะดู ถูกต้อง ทันสมัย และ มีคุณค่า ! และจะยิ่งดีเยี่ยม ถ้าสามารถยกอ้างสหรัฐอเมริกา จักรวรรดินิยมยุคใหม่ (หลังจากพวกยุโรปหมดน้ำยา?) เพราะดูเหมือนวัฒนธรรม “วิธีคิด” และ “วิธีวิทยา” ทั้งหลายของคนพวกนั้น ดูจะกลายเป็น “จักรวรรดิ” แห่งความถูกต้องไปเสียทุกเรื่องทีเดียว (ในกระแสทรรศนะคนรุ่นใหม่เท่าที่ปรากฏเห็นในหมู่บรรดาท่านผู้นำขบวน?) อันนี้ดูเหมือนจะแตกต่างกับ “ขบวนคนรุ่นใหม่” เมื่อสักประมาณ 4 ทวรรษก่อน(ที่เรียกกันว่าคนรุ่น 14 ตุลาฯ แบบขาวกับดำ แบบหน้ามือเป็นหลังมือ แบบ “อย่างสิ้นเชิง” ทีเดียว เพราะ “คนรุ่นใหม่” รุ่นนั้น มองเห็นสหรัฐอเมริกานั้น เป็น หัวโจกโจร เป็น “จักรพรรดินิยมผู้รุกราน” เป็นผู้ที่เข้ามาก่อสงครามฆ่าฟันคนเอเซียอาคเนย์เรา(หลายประเทศอาเซียนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม ลาว และกัมพูชา) สิ่งที่ “คนรุ่นใหม่” รุ่นนั้นภาคภูมิ นอกจากสามารถปลุกกระแสนักเรียนนักศึกษาประชาชนให้กล้า “ลุกขึ้นสู้” ก่อขบวนมวลชนโค่นล้มเผด็จการบ้านเมืองได้สำเร็จแล้ว สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่ายังปรากฏภาพชัดอยู่ในความรู้สึก “คนรุ่นใหม่” รุ่นนั้น ก็คือ การที่สามารถก่อขบวนขับไล่ฐานทัพของ “จักรพรรดินิยมอเมริกา”ออกไปได้สำเร็จ! คงเป็นเพราะ “ยุคสมัย” ที่แตกต่างกระมัง? จึงทำให้ภาพลักษณ์ของ “คนรุ่นใหม่” ระหว่างยุคนั้นกับยุคนี้แตกต่างกันแบบที่แทบจะเรียกว่า “โดยสิ้นเชิง”! หรืออาจเป็นเพราะ “คนรุ่นใหม่” ยุค 14 ตุลาฯ ยังดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมไทยที่ “รากยังไม่ขาด”โดยสิ้นเชิง ยังอยู่ในลักษณะสามารถรับวัฒนธรรมตะวันตกได้แบบ “เลือกแก่นทิ้งกาก” อย่างที่จิตร ภูมิศักดิ์ เคยเสนอแนวทางไว้ให้ ยังไม่มีแนวคิด “ประชาธิปไตยแบบตะวันตกล่อนจ้อน” จนหมดตัว อย่างยุคปัจจุบัน? แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ประกาศใช้แผนแรกมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2500 ยังไม่สำแดงเดชกวาด “วิถีไทย” ลงทิ้งในอ่าวไทยและอันดามันจนหมดสิ้นอย่างวันนี้ ลูกยังเคารพพ่อแม่ ครูและนักเรียนยังมีจริยธรรมในหัวใจกันอยู่อย่างที่ควรเป็น ผู้คนยังมีระบบคารวะธรรมหลงเหลือในจิตวิญญาณ การใช้คำหยาบยังเป็นสิ่งน่ารังเกียจขยะแขยง วัฒนธรรมการ “ตัดสินผู้อื่น” และการประณามด่าว่า ยังไม่ได้รับการเชิดชูให้กลายเป็นความกล้าหาญ ฯลฯ ที่สำคัญก็คือ วิถีการดำเนินชีวิตยังไม่เพริดไปตามระบบทุนนิยมตะวันตกแบบล่อนจ้อนเต็มรูปอย่างเยาวชนคนรุ่นใหม่genนี้ ยังมีรูปแบบและเนื้อหาของปัจจัยสี่ คือ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม อาหาร และยารักษาโรค แบบที่เป็น “อัตลักษณ์” (Identity)ของตนเองให้ได้ชื่นชมอยู่บ้าง ก็เห็นๆกันใช่ไหมว่า “คนไทยรุ่นใหม่” ของ “ยุคสมัย” นี้ เขา “อยู่” เขา “กิน” เขา “นุ่งห่ม” เขา “รักษาโรค” กันอย่างไร? เหมือนกับคนรุ่นเขาที่นิวยอร์ก/ที่ลอนดอน/ที่มาดริด/ที่ปารีส/ที่โตเกียว/ที่โซล/ฯลฯ ตามที่ “ทางทุน” โปรแกรมให้บริโภคไม่ใช่หรือ?ก็แน่ละพวกเขาคือผลผลิตของมัน! คำถามก็คือ แล้วใครละ? ที่รับระบบทุนบริโภคมาสมาทานมา “นิยม” แบบไม่รู้จัก “เลือกแก่นทิ้งกาก” อย่างที่ จิตร ภูมิศักดิ์ เคยชี้ไว้คนพวกนั้นใช่ไหม? ที่ทำให้พวก “คนรุ่นนี้” ต้องตกอยู่ภายใต้สังคมเช่นนี้ สังคมที่มุ่งบริโภคแบบไม่เคยรู้พอเพียง สังคมที่ต้องวิ่งแข่งเพื่อไป “ชิง” ทุกอย่างมาเป็น “ของกู” เพื่อตัว “กู” ก่อน กันอย่างเอาเป็นเอาตาย สังคมที่คนชนะเท่านั้นจึงอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ของความเป็น “คน” ฯลฯ หรือ “ยุคสมัย” จะวังเวงไร้ทางออกที่ “ดีจริง และ งาม” เอาจริงๆแล้ว?