สถาพร ศรีสัจจัง เมื่อถึงวันนี้ใครๆ ก็ย่อมรู้กันดีว่า,ระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ของประเทศไทย ได้รับการวางแผนแม่แบบ หรือที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า “มาสเตอร์ แพลน” โดย “ที่ปรึกษา” ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกัน! ตราให้ปรากฏไว้โดยสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” (ช่วงยามนั้นยังไม่มีการคิดถึงคำว่า “สังคม” เข้ามาเกี่ยวข้อง) ในช่วงต้นๆของทศวรรษ 2500 บุคคลที่เป็น “คีย์แมน” คือมีส่วนอย่างสำคัญยิ่ง ในการ “เชื้อเชิญ” รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ให้ช่วยจัดส่ง “ผู้เชี่ยวชาญ” มาวาง “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” ให้กับสังคมไทยในยามนั้น เป็นขุนทหารที่ได้รับอำนาจเต็มในการบริหารประเทศมาจากการทำรัฐประหาร ชื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ !(หลายเสียงบอกว่าเพื่อให้ประวัติศาสตร์ไทยสมบูรณ์ในทุกด้าน ขอให้ชาว “ประชาชาติไทย” โปรดอย่าลืมชื่อนี้เป็นอันขาด!) คราครั้งนั้น เป้าหมายของ “แผน” มี “คีย์ เวิร์ด” เพียงคำเดียว คือเพื่อ “สู่ความทันสมัย” ( Modernization) คำ “Modernization” ที่ว่า แปลความเป็นรูปธรรมได้ง่ายๆในยุคนั้นก็คือ “เป็นลูกไล่ของอเมริกา (มหามิตร)” ! หลังจากนั้น คือช่วงจากทศวรรษ 2500-2510 เป็นเวลาประมาณ 1 ทศวรรษครึ่ง จึงกลายเป็นยุคที่ผู้นำเผด็จการชุด “สฤษดิ์ และคณะ” (มีชุด “ถนอม-ประภาส-ณรงค์” เป็นกลุ่มสืบทอดอำนาจกลุ่มสำคัญ) เปิดประเทศอ้าซ่าให้ “อเมริกันขึ้นเมือง” อย่างเต็มรูป ครั้งนั้นเอง ที่สังคมไทยเริ่มรับ “วัฒนธรรมอเมริกัน” ทั้งด้านบวกและลบ (อย่างไม่ “เลือกแก่นทิ้งกาก”ตามที่ “จิตร ภูมิศักดิ์” ว่าไว้) เพราะเมืองไทยครานั้น กลายเป็นที่ตั้งฐานทัพของ “จักรพรรดินิยมอเมริกา” ในเอเชียอาคเนย์อย่างเต็มรูปด้วยเต็มใจ เพื่อส่งเครื่องบินรบไปถล่มประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนาม กัมพูชา และลาว รวมถึงกลายเป็น “ฮับ” ของทหารอเมริกัน ทั้งที่มาเตรียมตัวไปรบ และกลับมาพักรบ หรือ “พักผ่อน” วัฒนธรรมบันเทิงแบบอเมริกันหลากแบบ ทั้งในรูปของคลับบาร์ ซ่องโสเภณี และวัฒนธรรม “เมียเช่า” ก่อเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กว้างขวาง และมีนัยสำคัญทางสังคม และการเกิด “ลูกครึ่ง” (ส่วนใหญ่ จากหญิงไทยกับทหารอเมริกัน ทั้งผิวขาวและผิวดำ) ก็เริ่มแพร่ระบาดอย่างกว้างขวางในช่วงนี้เอง นับเป็น “วิชั่น” ที่กว้างไกลของชนชั้นนำไทยในยุคนั้นกระมัง? คือเหมือนจะรู้ว่า ในอีกไม่กี่ทศวรรษเบื้องหน้า ระบบทุนนิยมโลก จะสถาปนายุค “โลกาภิวัตน์” (Globalization) หรือ ระบบ “โลกไร้พรมแดน” ขึ้น เพื่อการขยายตลาดสินค้าให้ “ไม่มีขอบเขต” ต่อการผูกขาดและการสร้าง “กำไร” อย่างไม่มีที่สิ้นสุดตาม “หัวใจ” ของระบบทุนนิยมขั้น “จักรพรรดินิยม” ยิ่งขึ้น แต่ในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น ดูเหมือนสังคมไทยจะยังไม่ “ปลื้ม” กับสิ่งที่เรียกว่า “ลูกครึ่ง” สักเท่าไหร่นัก และดูเหมือนสิ่งที่เรียกว่า “นักสิทธิมนุษยชน” หรือ “องค์กรพิทักษ์สิทธิมนุษยชน” จะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางสักเท่าใดในสังคมไทย เช่นกัน! กลับมาที่ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” กันอีกสักหน่อยดีกว่า! : เมื่อถึงปีพ.ศ. 2564 นี้ การคิดวางแผน “พัฒนาประเทศไทย” โดยฝีมือและฝีสมองของบรรดา “ที่ปรึกษา” ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกัน จนก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” ที่เริ่มกันจริงๆจังๆสักประมาณ พ.ศ.2504 ก็ครบ 60 ปี หรือ 6 ทศวรรษพอดิบพอดี! เป็น 60 ปี หรือ 6 ทศวรรษ ที่สังคมไทยก้าวสู่ “ความทันสมัย” (Modernization) ตาม “รูปแบบ” (Form) ที่อเมริกาต้องการชนิดที่เรียกเป็นภาษาร่วมสมัยได้ว่า “แบบสุดๆ!” กล่าวคือ ชนชั้นกลางในสังคมไทยจำนวนหนึ่ง(ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพ่อค้าและเทคโนแคร็ต) ที่เกิดขึ้นเพราะแผนพัฒนาดังกล่าว โดยเฉพาะบรรดาเยาวชนคนเกิดในรุ่น(“Gen”) 30 ปีที่เพิ่งพ้นผ่าน มีวิธีคิดวิธีให้คุณค่าทางสังคม เปลี่ยนจากสังคมไทยแบบเดิมๆ “อย่างสิ้นเชิง” ชนิดที่เรียกได้ว่าสังคมไทยได้กลายเป็น “สังคมรากขาด” ได้เลยทีเดียว! (กล่าวคือ ถ้าเป็นต้นไม้ซึ่งเคยมี “ระบบราก” เป็นของตัวเองตามธรรมชาติ มาก่อน ภายหลังก็ถูกกลุ่มคนที่คิดว่าตัวเองเป็น “เจ้าของ” ไปสมาทานรับเอาระบบรากของพืชต่างเผ่าพันธุ์มา “ตัดต่อพันธุกรรม” ใช้งานแทน “ระบบราก” ของตัวเองเสียฉิบ!) ทั้งต่อสิ่งที่เรียกว่า “ระบบโครงสร้างชั้นล่าง ( Base Structure System) ซึ่งหมายถึง “ระบบความสัมพันธ์ทางการผลิต” (Productive Relation System)ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ระบบเศรษฐกิจ” ( Economical System)นั่นเอง กับ “ระบบโครงสร้างชั้นบน” ( Super structure System) หรือที่รวมเรียกว่า “ศิลปวัฒนธรรมทั้งหลายทั้งปวง ที่สำคัญๆได้แก่ ระบบการบริโภคปัจจัย 4 (ที่อยู่อาศัย/เครื่องนุ่งห่ม/อาหาร/ยารักษาโรค) ระบบการเมือง ระบบกฎหมาย ระบบการให้คุณค่าทางคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม และจารีตประเพณี รวมไปถึงระบบคุณค่าที่เกี่ยวกับความงามทางศิลปะทั้งหลายทั้งปวง อันได้แก่ศิลปะการแสดง(Performance)/ทัศนศิลป์(Vitual Art) และ วรรณกรรม(Literature) ภาพ “ความล่มสลาย” ของสังคมไทยในรอบ 60 ปี หรือ “6 ทศวรรษแห่งการมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ(และสังคม)แห่งชาติ” นั้น กล่าวได้ว่า ใครก็สามารถพิจารณาเห็นหรือดูได้ ทั้งจากปรากฏการณ์เกี่ยวแก่ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และ ความล่มสลายทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ในเชิงประจักษ์ แบบ “จะจะ” ได้ทีเดียว! เรื่องนี้จึงคงต้องลงในรายละเอียดเชิงประจักษ์ เพื่อจะได้ “เห็นๆกัน” กัน เสียสักหน่อยละกระมัง?!!!!ฯ