แสงไทย เค้าภูไทย
น่าวิตกกับตัวเลขเพิ่มจำนวนคนติดเชื้อโควิดของไทยที่ทำท่าจะคุมไม่อยู่ จนแซงสหรัฐฯที่เคยครองตำแหน่งสูงสุดในโลกทั้งสองด้านด้วยเหตุบริหารวัคซีนได้ผล
ช่วงที่การระบาดหนักๆในยุโรป อเมริกาทั้งเหนือ-ใต้ ปีที่แล้ว จนปีนี้อินเดียคนที่จู่ๆล้มตายข้างถนน หรือตายคาบ้านมีเป็นแสนๆคนต่อวันขณะที่ไทยสบายดี ตัวเลขป่วยหลักสิบ คนตายเลขตัวเดียว
แต่มาวันนี้ ติดเชื้อตามที่ตรวจพบป้วนเปี้ยนหลักหมื่น คนตายตัวเลขใกล้ 3 หลักต่อวัน
วันนี้ ตัวเลขเหล่านี้ ไทยแซงหน้าสหรัฐที่เคยเป็นเบอร์ 1 ในด้านติดเชื้อและตายมาแล้ว
สหรัฐฯเริ่มมีภูมิคุ้มกันหมู่จากการฉีดวัคซีนแล้ว โดยเข็มแรกสัดส่วน 61.1% เข็มที่ 2 สัดส่วน 58.3% จนบางรัฐ reopen เต็มตัวแล้ว
แต่เมืองไทยสวนทาง ตัวเลขฉีดวัคซีนไม่ว่าจะเข็มแรกหรือเข็มที่สองยังเป็นตัวเลขหลักหน่วย เฉลี่ย 8% ต้นๆของจำนวนประชากร
จะให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ต้อง 60% ขึ้น จึงดูแล้วยังห่างไกลนัก อาจจะถึงกลางปีหน้า
หรืออาจยาวกว่านั้น หากการบริหารวัคซีนยังพะวัก พะวน ขั้นตอนต่างๆซับซ้อน รุงรัง
ขณะที่การระบาดยังคงรุนแรงขึ้นพื้นที่ กทม.หนักที่สุด เตียงไม่พอรองรับ เตียงสนามเพิ่มไม่ทันจำนวนเพิ่มผู้ป่วย ซ้ำบุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่เพียงพอจะดูแลคนป่วย
คนป่วยระยะแรกถูกให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน
โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งยุติการตรวจ เพราะยิ่งตรวจยิ่งเจอ เจอแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้
บางแห่งชะลอการตรวจ ทำให้ผู้ขอเข้ารับการตรวจต้องเข้าแถวรอยาวเป็นกิโลเมตรไม่ต่างกันกับผู้มารอขอคิวฉีดวัคซีน
นี่คือเหตุผลที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.แนะนำให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองที่บ้านในรูปของการ เข้าระบบการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) หรือที่ชุมชน (Community Isolation)
เป็นเหตุให้ตัวเลขผู้ป่วย(ตามที่ตรวจพบ)มากขึ้น
แต่จำนวนผู้เสียชีวิตนั้น อำพรางไม่ได้ เพราะเมื่อมีคนตาย ญาติพี่น้องก็จะแจ้งมายังหน่วยงานรัฐ บางรายก็ออกข่าวในสื่อออนไลน์
ยิ่งตอนนี้โควิดสายพันธุ์เดลตาเข้ามาระบาด มันติดเชื้อง่ายและเมื่อเข้าร่างกายคนแล้วจะแพร่กระจายเร็วกว่าเชื้ออื่นๆ ดังที่มีคนติดแค่ 5 วันแล้วตาย
ในทางตรงกันข้าม การบริหารวัคซีนที่ผิดพลาดแบบกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด โดยมุ่งใช้แต่ซิโนแวคของบริษัทเอกชนจีนซึ่งการผลิตยังใช้รูปแบบดั้งเดิม ทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนต่ำ เมื่อมาเจอเชื้อกลายพันธุ์เข้าก็ไม่สามารถป้องกันได้
บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อกันนับร้อยๆคน ที่เสียชีวิตก็มี
ความเชื่อที่ว่า ฉีดครบ 2 เข็มแม้ติดเชื้อก็จะไม่ป่วยหนักถึงขั้นเข้าไอซียูนั้นหมดสิ้นแล้ว
เพราะมีบางคนอาการหนักกว่าที่คิด และกังวลว่าน่าจะมีเสียชีวิตนับสิบรายขึ้นในเร็ววันนี้
พบว่าภูมิต้านทาน(antibody) ของผู้รับซิโนแวคจะคงประสิทธิภาพอยู่แค่ 3 เดือนเท่านั้นก็เสื่อม ต้องฉีดเพิ่มโดส
เมื่อฉีดเข้มที่ 2 แล้วล้มเหลว ต้องฉีดโดสที่ 3 เป็นแอสตร้าซีเนก้าก็หมายถึงสูญเข็มที่ 2 ไปเปล่าๆ 1 โดส
บุคลากรทางการแพทย์รับวัคซีนซีโนแวกแบบถูกบังคับด้วยระบบราชการ 1,716,802 โดสแล้ว จากจำนวนที่นำเข้ากว่า 19 ล้านโดส
เอาชีวิตด่านหน้า บุคลากรทางการแพทย์มาเสี่ยงเช่นนี้หรือ ?