สถาพร ศรีสัจจัง ถ้าจะเอางานวิจัยที่ฝรั่งชาวตะวันตกวิเคราะห์สังคมไทยมาเป็นไม้บรรทัดวัดหรือเป็นที่ตั้ง เพื่อตอบคำถามว่า “ทำไมสังคมไทยจึงเป็นสังคมที่ “ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา” ?” ก็อาจตอบสั้นๆแบบเป็น “ข้อสรุป” ได้ว่าเป็นเพราะเหตุ 4 ประการ ตามที่งานวิจัย 4 เรื่องของฝรั่งตะวันตกว่าไว้ คือ 1) เพราะเหตุตามรายละเอียดในงานวิจัยเรื่อง “ Modernization without Development : Thailand as an Asian Case Study” 2) เพราะ “เป็นสังคมที่มีโครงสร้างหลวม” (ไร้วินัยทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้!)หรือที่ผู้วิจัยคือนายจอห์นเอมบรี เรียกว่า “ Thailand : The Loosely structure society” 3)เพราะมีระบบการปกครองตามรูปแบบ “ข้าราชการ” ตามแนวคิดของนาย เฟรด ริกส์ และ 4)เพราะเป็นสังคมที่มี “ระบบการเมืองแบบไพร่ฟ้า” (Top downระบบอุปถัมภ์) ตามงานวิจัยของนายกาเบรียล อัลมอนด์ และ นายซิดนีย์ เวอร์บา ถ้าจะกลับมาดูสังคมไทยปัจจุบันแล้วถามว่า มีปรากฏการณ์ทางสังคมใดบ้างที่พอยกเป็นตัวอย่างเพื่อชี้ให้เห็นว่า คนในสังคมไทยกำลังตกอยู่ในสังคมแบบ “ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา” (ตามที่นักวิชาการฝรั่งว่า) ที่เห็นได้ชัดเจนมากในตอนนี้ ก็น่าจะไม่มีอะไรเกิน “การเมืองเรื่องวัคซีน” นั่นหละกระมัง? เพราะเรื่องนี้ตอบชี้ว่าสังคมไทยนั้นเป็นสังคมเชื่อ “ข่าวลือ” และสังคมแห่งการ “นินทาว่าร้าย” และเป็นสังคม “เชื่อกระแส” ! การระดมสรรพกำลัง(ทุกแนวร่วม/รวมถึงพวก “ลูกขุนพลอยพยัก”)โดยชูเรื่อง “การจัดการวัคซีนโควิด- 19” ที่ “เชื่องช้าและล้มเหลว” ของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน(เพื่อมุ่งโจมตีและ “โค่นล้ม” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) มาปั่นกระแส จนกลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งบ้านทั้งเมือง (อย่างน้อยก็ในจอทีวีเกือบทุกช่อง) โดยเฉพาะในวงการ ดารา ศิลปิน เซเลบ ปัญญาชนคนชั้นกลาง(บางกลุ่ม) และพวกพ่อค้าขายวัคซีน ฯลฯ ที่ประสานอย่างแนบแน่นสนิทกับบรรดาพรรคการเมืองฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น ส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวาง ต่อกลุ่มที่ “เคยหนุนประยุทธ์” และ ต่อมวลชนกลุ่มกลางๆ(ที่ยังไม่เลือกว่าจะเอาหรือไม่เอาประยุทธฺ) อันแสดงว่า ประเทศไทยแลนด์ที่ฝรั่งว่ามี “โครงสร้างหลวม” ในยุค “ทุนเป็นใหญ่” นี้ ถ้าใครสามารถยึดกุม “เครื่องมือสื่อสารของสังคม” ไว้ได้ ก็ “จะสามารถยึดกุมจิตใจมวลชนไว้ได้ด้วย” เช่นกัน ตามที่ท่านบรมศาสดาแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์คือคาร์ล มาร์กซ์ เคยว่าไว้จริงๆ!! ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่า “ข้อเท็จจริง(Fact) ที่เชื่อถือได้จริงๆคืออะไร ก็เชื่อ/ก็เข้าร่วมขบวนแห่กับเขาไปแล้ว! นั่นแหละ,คือคุณภาพของคนในสังคมไทย “ที่ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา” (ตามฝรั่งว่า)ในวันนี้! เรื่อง “วัคซีน” และเรื่อง “โควิด-19” นี้ มีทรรศนะที่น่าสนใจจากนายแพทย์ท่านหนึ่งที่มีบางใครส่งทรรศนะของท่านเป็น “คลิป” มาให้ดู นายแพทย์ท่านดังกล่าวนี้ ต้องถือว่าเป็น “หมอดัง” คนหนึ่งในสังคมไทยปัจจุบัน คือคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ “บล็อกเกอร์” เกี่ยวกับสุขภาพที่มีคนอ่านไม่น้อยกว่าปีละ 2ล้านครั้ง! คุณหมอสันต์เรียนจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจที่ภายหลังป่วยเป็นโรคหัวใจเสียเอง และเลือกการบำบัดตัวเองโดยไม่ใช้ยาและการผ่าตัดหรือการทำบอลลูน ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ กินอาหารพวกพืชผักผลไม้ ฝึกโยคะ รำมวยจีน และนั่งสมาธิ ภายหลังได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ป่วยและผู้สนใจขึ้น เป็นวิทยากร ทำรายการทีวีและตอบคำถามด้านสุขภาพให้แก่ผู้คนทั่วไป ฯลฯ ลองตัดบางส่วนจากคลิปเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนและเรื่อง “โควิด-19” ที่หมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ตอบผู้สื่อข่าวมาให้ดู เผื่อบางใครจะ “ตาแจ้ง” ขึ้นมาบ้าง มีความดังนี้ : “...ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมช่วงหลังหมอสันต์จึงไม่ค่อยตอบเรื่อง “โควิด-19” เลย? นพ.สันต์ฯ ชี้แจงว่า ความจริง มันไม่มีข้อมูลจากงานวิจัยจริงๆ ที่จะนำมาเป็นพื้นฐานของคำแนะนำ ผมก็ตามข้อมูลอยู่นะ ไม่ใช่ไม่ตาม แต่ ข้อมูลที่เป็นงานวิจัยจริงๆ ที่ตีพิมพ์เรื่องโควิด-19 นี้ มันมีน้อยมาก ยกตัวอย่างเช่น แม้กระทั่ง ผลวิจัยวัคซีน ในระยะสามของวัคซีนบางตัว ที่เอาออกมาใช้กัน ข้อมูลจริงๆ ยังไม่ได้ตีพิมพ์เลย ยิ่งข้อมูลที่ว่า วัคซีนอะไร ดีกว่าอะไร ต้องฉีดสองเข็ม หรือ สามเข็ม ยิ่งไม่มีข้อมูลงานวิจัยเลย เพราะ แท้จริง ยังไม่มีการวิจัยเปรียบเทียบเลย ข้อมูลที่พูดกันทั้งหมดในตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นการให้ข่าวเท่านั้น เป็นการกระทำ ของ -คนทำวัคซีนขายบ้าง -ผู้บริหารประเทศต่างๆบ้าง -คนขายข่าวบ้าง และ -หมอที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องบ้าง ข่าวไม่ใช่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ที่จะเอามาออกให้คำแนะนำอะไรได้ เพราะ มิใช่งานวิจัย (เป็นงานด้านการตลาด เพื่อการขาย) นพ.สันต์ฯ ชี้แจงว่า ตอนนี้ ไทยเราใช้ยุทธศาสตร์กดโรค (suppression) ไม่สำเร็จ ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่ใช่การขาดวัคซีนหรือ นพ.สันต์ ชี้แจงว่า การขาดวัคซีน เป็นปัญหาก็จริง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สุดของไทย เพราะ ปัญหาวัคซีน เป็นเพียงการวิ่งตามการกลายพันธุ์ (mutation) ของเชื้อโรค และ ยังไม่รู้ว่า เราจะต้องวิ่งตามกันไปอีกกี่ปี แต่การใช้ยุทธศาสตร์กดโรคให้สำเร็จ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด อย่าลืมว่า เมืองไทยเรานี้ โรคเพิ่งระบาดไปแค่ 0.3% ของประชากรแค่นั้นเอง มีเลขศูนย์นำหน้า จุดทศนิยมด้วยนะ เพราะเรามีกัน 67 ล้าน ติดเชื้อแล้วสองแสนสามหมื่นคน(ตอนให้สัมภาษณ์) ถ้าเรามาดูพฤติกรรม การระบาดในปีกว่า ที่ผ่านมา ของโรคนี้ หากเราปล่อยจริง ก็ต้องดูประเทศที่เขาปล่อยในช่วงแรก อย่างเช่น ที่อเมริกา มันระบาดไปใน 10% ของประชากร คือมี คน 328 ล้านติดเชื้อ 33 ล้านคน ที่อังกฤษ ระบาดไป 7.8% คือ มีคน 55.9 ล้าน ติดเชื้อไป 4.7 ล้านคนของไทยเรานี้ เพิ่งติดเชื้อแค่ 0.3% (ตอนให้สัมภาษณ์)เองนะ เราก็ร้องกันบ้านแตกว่า จำนวนเตียงไอซียู และ ทีมแพทย์พยาบาล จะรับกันไม่ไหวแล้ว ถ้าเราปล่อยให้ติดไปสัก 10% ลองนึกภาพดูว่า มันจะเป็นอย่างไร ดังนั้น การกดโรค เป็นยุทธศาสตร์เดียว ที่เราพึงทำตอนนี้ ไม่มีวิธีอื่น หากเรากดโรคไม่สำเร็จก็..จบข่าว ผู้สื่อข่าว ถามว่า ทำไมเราจึงกดโรคไม่สำเร็จ นพ.สันต์ฯ ตอบว่า ผมไม่ทราบ มัน มาจากเหตุอะไร แต่ขอเดาเอาว่า -อาจเป็นเพราะวินัยของผู้คนในประเทศไม่พอ -ความเฉียบขาดของกลไกของรัฐไม่พอ เพราะยุทธศาสตร์กดโรค ก็เหมือนยุทธการ ปราบผู้ก่อการร้าย ภายในประเทศของทหาร ถ้าไม่เฉียบขาด มันก็ไม่สำเร็จ จริงๆแล้ว มันคงมีหลายสาเหตุหลายปัจจัย ที่เกินปัญญาที่ผมจะรู้ได้ แต่ที่ว่า ไม่สำเร็จนี้ หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ก็ต้องถือว่า ประเทศไทย เราทำได้เจ๋งมากแล้ว เพียงแต่ว่า มันไม่เจ๋งพอ ที่จะให้โรคหมดเกลี้ยงได้ ... ...เรายังไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น ของเรา ยังอยู่ในระยะ clusters of cases และการระบาดของโรค ก็เพิ่งกระจายไปแค่ 0.3% (วันตอบคำถาม)ของประชากรแค่นั้นเอง การกดโรค จึงเป็นทางไปทางเดียว ที่รัฐทำถูกทางแล้ว ทางอื่นไม่มี..." ฟังคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ พูดแล้วเห็นอะไรกันบ้างละ? หายตาบอดใจบอดกันบ้างหรือเปล่า?เห็นว่าเป็นเมืองพุทธ หลักกาลามสูตรและหลัก “สัมมา” ทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้าทรงเมตตาสั่งสอนไว้หายไปไหนหมด? ขอเถอะอย่าไปออกแอตแท็ก “แบนหมอสันต์” อีกนะส่วนจะถล่ม “ประยุทธ์” ยังไงก็ถล่มกันไปเถอะ! เฮียเขาไม่กระเทือนซางอะไรดอกละมั้ง...!!!!!!