สถาพร ศรีสัจจัง “เรียน” นั้นหมายถึง “ศึกษา” เป็นคำภาษาสันสกฤต ถ้าบาลีว่า “สิกขา” ซึ่งมีความหมายถึง “ความประสงค์ที่จะให้สำเร็จหรือบรรลุ,การเล่าเรียน,การฝึกฝน,การฝึกหัด” ส่วนคำ “เลียน” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯให้ความหมายไว้ว่า “เอาอย่าง หรือ พยายามทำให้เหมือนแบบอย่าง” ส่วนภาษาอังกฤษ มีความหมายที่คล้ายคลึงให้ใช้หลายคำ เช่น to imitate,to emulate,to parrot,to copy เป็นต้น สังคมไทยเราเป็นสังคมที่เริ่มมีอารยะ (คือเริ่มอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมอย่างมีเหตุมีผล) มาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงศตวรรษต้นๆของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากอินเดีย เพราะมีหลักฐานชัดเจนในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดียว่า พระพุทธศาสนาได้สถิตเสถียรสถาพรลงแล้วในดินแดนแคว้นสุพรรณภูมิแห่งนี้ แน่นอนว่าระบบศักดินา (Feaudalism) ภายใต้คตินิยมแบบพุทธย่อมมี “ธรรมะ” ซึ่งเป็นคำสอนอันเต็มไปด้วย “สัมมาทิฏฐิ” (ปัญญาชอบ) ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นตัวกำหนดกรอบวิธีคิด ย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับระบบศักดินาในยุโรปที่มีฐานการคิดแบบ “ประโยชน์นิยม” (Pragmatism) เป็นตัวกำหนดกระบวนทัศน์ (Paradigm) ด้วยกระบวนทัศน์รากฐานต้นแบบที่เรียกว่า “มุ่งประโยชน์นิยม” นี่เอง ที่ทำให้พัฒนาการทางสังคมของชาวซีกโลกตะวันตก ที่ภายหลังมี “ยุโรป” เป็นศูนย์กลาง ได้ก่อคตินิยมเรื่อง “คนคือผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง” ขึ้น (พร้อมที่จะทำลายสิ่งธรรมชาติรอบตัวอื่นใดรวมถึง “โฮโมเซเปี้ยน” เผ่าพันธุ์อื่น และแม้แต่ต่อคนเผ่าพันธุ์เดียวกัน) เพื่อผลประโยชน์ของตน และ “พวก” ตน แรกเริ่มเดิมที คำ “คน” ในความหมายของพวกเขา หมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ผิวขาวเท่านั้น!/ผิวดำแบบคนแอฟริกา/ผิวแดงแบบคนลาตินอเมริกา/ผิวเหลืองแบบคนเอเซียไม่ใช่คน! ดังนั้นภายหลังจึงเกิดคำที่เต็มไปด้วยความหมายเชิง “มิจฉาทิฏฐิ” ในพระพุทธศาสนา คือ “ภารกิจของคนขาว” (White man burden) ขึ้นในหมู่ชนชั้นนำของพวกเขานั่นแหละ! ก่อเกิดการแผ่ขยายอำนาจ ทำตัวเป็น “จักรวรรดินิยม” (Imperialism)ไล่ล่าบังคับเอาแผ่นดินของชาติพันธุ์อื่นลงเป็นเมืองขึ้น ใช้อำนาจและกลอุบายให้ชาติพันธุ์ต่างๆต้อง “เลียน” วิธีคิด ระบบคุณค่า และรสนิยม (ทั้งหมดที่เรียกว่าวัฒนธรรม) ตามแบบที่ตนเชื่อว่าคือ “อารยะ” หรือ “ดีงามกว่า” ในเอเชียเรานอกจากชาติเล็กๆอย่าง “สยาม” หรือ “ไทยแลนด์” ในปัจจุบันจะรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกา(โดยการปรับปรนบูรณาการชาติและยอมสูญเสียส่วนย่อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่)มาได้แล้ว ชาติใหญ่ที่สั่งสมอารยธรรมมาอย่างยาวนาน เช่น จีน อินเดีย และเปอร์เซีย(อิหร่านปัจจุบัน)ก็ยังไม่รอด ถูกรุมกินโต้ะแบบที่เมื่อกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ทุกครั้งก็คงยากจะไม่พบแผลเป็นของชาติ! โชคดีนักหนา ที่ชาติใหญ่เหล่านั้นมี “ราก” ทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน แม้จะถูกกดขี่ขูดรีดแล่เนื้อเถือหนังไปมากมาย ที่สุดพวกเขาก็สามารถฟื้นฟูและดำรง “อัตลักษณ์” (Identity) ความเป็นตัวตนของชาติตนเอาไว้ได้ โดยเฉพาะ “จีน” วันนี้ ที่ยืนหยัดขึ้นต้านจักรพรรดินิยมตัวใหม่อายุเพิ่ง 200 กว่าปี ที่ชื่อสหรัฐอเมริกา (ผู้นิยมการหักหลังมิตร,ดูตัวอย่างได้ กรณีเวียดนามใต้ในอดีตและอัฟกานิสถานวันนี้!)ได้อย่างสง่างามอย่างที่เห็นๆเชิงประจักษ์ในวันนี้! ใครที่ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยอย่างลึก ย่อมทราบซึ้งในทรวงดีว่า สหรัฐอเมริกานั้นเข้ามาอ่อยเหยื่อเพื่อหวัง “ตวง” เอาผลประโยชน์จากเมืองไทยแต่เมื่อนานมาแล้ว อย่างน้อยในช่วงรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงสยาม เรือกำปั่นค้าขายของอเมริกาก็ขนของเข้าออกกรุงสยามมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 ครั้ง ทั้งยังมีหลักฐานว่า เคยนำปืนไฟสมัยใหม่มาถวายรัชกาลที่ 2 ตั้ง 5,000 กระบอก พอเห็นเค้าไหม ว่าชนชาติมีรสนิยมเกี่ยวกับความรุนแรง และการชอบ “ก่อสงคราม” อย่างไร?! กระทั่งผ่านการปฏิรูปใหญ่ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ผ่านมาจนถึงการเปลี่ยนระบอบการปกครองครั้งใหญ่ในปีพ.ศ.2475...จากปี 2475 จนถึงถึงปี 2500 ...แม้จะลุ่มๆดอนๆในการพัฒนา “ระบบประชาธิปไตย” ในช่วง 10 ปีแห่งยุค “ท่านผู้นำ” อย่างจอมพลแปลก ขีตตะสังคะ แต่ก็ยังมี “เค้า” ว่าน่าจะพอ “ล้มลุกคลุกคลาน” ไปได้ แล้วใน พ.ศ.2501 นั่นเอง สฤษดิ์ ธนะรัชต์ “นายพลผ้าขะม้าแดง” ผู้สมาทานความคิดอเมริกาแบบเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะเรื่อง “ต่อต้านคอมมิวนิสต์” ก็ขักนำสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอิทธิพลเหนือรัฐไทยอย่างเต็มรูปในทุกด้าน ที่สำคัญสุดคือการเกิดขึ้นของ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ระยะที่ 1” ภายใต้การชี้นำกำหนดของ “ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกา” ที่เข้ามา “ช่วยยกร่าง”ตามคำร้องขอของหัวหน้าคณะรัฐประหารยุคนั้นที่ชื่อสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งได้รับการหยิบยื่นบรรณาการหลากรูปแบบจาก “ลูกพี่” คือสหรัฐฯแบบ “เต็มอยาก” เพื่อการนำสังคมไทยและคนไทยไปสู่การ “เลียน” ทุกเรื่องราวแบบ “ต้องตามก้นอเมริกา”! การ “เลียน” ที่ไม่ใช่การ “เรียนรู้” แบบที่ “วิธีวิทยา” เชิงพุทธเคยอบรมบ่มเพาะและสั่งสอนคนในสังคมไทยมาโดยตลอดนี่เอง ที่กลายเป็นเครื่องมือทำให้ “วิธีคิด” และ “รสนิยม” ของผู้คนโดยทั่วไป โดยเฉพาะคนในรุ่น “เจนX/เจนY/เจนZ และ เจนAlpha” คือคนที่เกิดตั้งแต่ปีพ.ศ.2510 จนถึงปัจจุบัน ต้องสมาทานความคิดแบบ “ประโยชน์นิยม” ของจักรพรรดินิยมตะวันตกอย่างเต็มคราบถึงคอหอยจนคงยากสลัดหลุด! การคิดแบบ “ประโยชน์นิยม” ที่เป็นกระบวนทัศน์พื้นฐานของจักรพรรดินิยมชาติตะวันตกที่พัฒนามาตั้งแต่ยุคกรีก-ยุโรป(โปรตุเกส/ดัตช์/อังกฤษ/ฝรั่งเศส) จนถึงสหรัฐอเมริกานั่นเอง ที่ได้เข้า “แทนค่า” ระบบการคิด ที่ตั้งอยู่บนฐานคิดเชิงพุทธดั้งเดิมของคนไทย (คือหลัก กรรม/อิทัปปัจจยตา/อริยมรรคมีองค์ 8/โยนิโสนสิการ และ กัลยาณมิตา เป็นต้น)โดยการ “เลียน” ตาม “กระบวนการโฆษณาชวนเชื่อ” (Propaganda procession) ผ่าน “นโยบาย” ที่ถูกกำหนดขึ้นเป็นสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรฐกิจและสังคมแห่งชาติ” มาตั้งแต่ระยะที่ 1 (พ.ศ.2504) จนถึงระยะ 12 ที่กำลังจะเริ่มอยู่ในปีปัจจุบัน พูดแบบตรงไปตรงมาง่ายๆก็คือ เรา “เลียน” เพื่อจะเป็นแบบเขา ขณะที่เรามีความเป็นมาและมีข้อจำกัดทางประวัติศาสตร์หรือ “รากทางสังคม” ที่แตกต่างจากพวกเขาแทบจะโดยสิ้นเชิง ทั้งในด้านกายภาพและจิตภาพ (รูปธรรมและนามธรรม) ไม่ใช่ “เรียน” เพื่อที่จะ “รู้” เพื่อให้เกิด “ปัญญาชอบ” อันจะก่อ “การดำริชอบ” ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้แล้วหายนะและความล่มสลายทางสังคม (โดยเฉพาะระบบคุณค่า)จะเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงได้อย่างไร?!!!