สถาพร ศรีสัจจัง คนไทย 4 รุ่นในรอบ 6 ทศวรรษที่เพิ่งพ้นผ่าน (อย่างที่เห็นทนโท่กันอยู่ในปัจจุบันนั่นไง!) ซึ่งเป็นผลผลิตโดยตรงของ “แผนพัฒนาฯ” ที่ “เลียน” รูปแบบมาจากสหรัฐอเมริกาโดยตรงตั้งแต่เจน X, เจนY, เจน Z จนถึง เจน Alpha ในปัจจุบันบอกอะไรเราบ้าง? ถ้าจะว่ากันแบบนักวิชาการทางสังคมศาสตร์ในสายสกุลที่ยึดแนวคิด “ทฤษฎีความขัดแย้ง” ก็ย่อมประมวลสรุปลงไปได้เลยว่า 60 ปี ของการเดินตามก้นอเมริกา (และกลุ่มแนวคิดเศรษฐกิจกระแสหลักแบบกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกทั้งหลาย) ก่อบุคลิกภาพของคนในสังคมไทยให้ห่างไกลจาก “ราก” เชิงคุณภาพแห่งความเป็นคนในสังคมเชิงพุทธดั้งเดิมมากขึ้นทุกทีๆ แม้กระทั่งด้านดีของสิ่งที่เรียกว่า “เสรีนิยม” อันได้แก่ปฏิญญาที่ว่าด้วย “สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล” ทั้งหลาย ก็ล้วนได้รับการตีความผิดๆ สมาทานรับแนวคิดนั้นมาสู่รูปการจิตสำนึกตนแบบผิดๆ แบบที่ค่อนไปทางต่ำช้าสามานย์ ทั้งสิ้น กล่าวคือ รับแบบมาขยายอัตตาตัวตนในเรื่องนี้จนล้น ไม่คำนึงถึงการเบียดเบียนและรุกรานทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและสิ่งอื่น ไม่เคยเรียนรู้ถึงขอบเขตและความ “พอดี” ของสิ่งที่สังคมพุทธไทยสมาทานมาเป็นกรอบวิถีแห่งการดำรงทางสังคมมาอย่างยาวนาน คือแนวคิดที่ว่าด้วย “ทางสายกลาง” หรือที่อาจกล่าวเป็นภาษาต้นตอของพระพุทธศาสนา (ที่พวกเขาจะบอกว่า “เร่อร่าล้าสมัย”)ว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” นั่นแหละ! (แต่เวลาพวกเขาจะสมาทานรับเอาภาษาของชาวตะวันตกซึ่งเป็นภาษาแม่ของลัทธิจักรวรรดินิยมสมัยใหม่ อย่างภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส น้ำเสียงของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกสวามิภักดิ์และชื่นชมยินดี) อย่าพูดถึง “ธรรมะ” ที่ปู่ย่าตายพ่อแม่เคยยึดถือปฏิบัติเพื่อการเกิดขึ้นของ “สังคมสันติธรรม” อย่างหลัก “พรหมวิหาร4” ที่ว่าด้วยเรื่องของ เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา เลย แค่สำนึกเรื่อง “ระบบคารวธรรม” ทางสังคมแบบพื้นๆที่เคยมีมาอย่างเข้มแข็งยาวนานในสังคม “แบบไทย” แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ,ที่มุ่งนำสังคมไทยไปสู่ความเป็น “ทาส” (ทางระบบคิดและระบบคุณค่าแบบไม่รู้จักพอ) ของบรรดาชาติจักรพรรดินิยมอย่างสหรัฐอเมริกา และแนวร่วมก็ถูก “คนรุ่นใหม่ กลบฝัง” ไปเรียบร้อยแล้ว! ความ “ก้าวหน้า” เกี่ยวกับพฤติกรรมทางสังคมด้านจริยธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านท่าทีท่วงทำนอง(ที่เรียกว่า “คารวธรรม”) หรือแม้แต่ด้านภาษา (การใช้อย่างถูกกาลเทศะ)ในหมู่เยาวชนไทยยุคปัจจุบัน (โดยเฉพาะที่พวกถูกเรียกโดยระบบตะวันตกว่า เจนY,เจนZ และ เจน Alpha) อย่างที่รู้เห็นๆกันว่าหยาบคายแค่ไหน หรือจะไม่ใช่ผลผลิตของแผนพัฒนาฯในรอบ 60 ปีที่พ้นผ่าน? หรืออย่างนี้เองที่เรียกว่า “Love me, Love my dog” อย่างที่เพลงอเมริกันสุดฮิตพยายามบอก? วินาทีนี้พลันให้นึกถึงวาทะท่อนหนึ่งที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ประยุทธ์ ปยุตโต)ในฐานะผลผลิตแท้ของสังคมไทยเชิงพุทธ (ที่รู้จักรับวัฒนธรรมจักรพรรดินิยมตะวันตกแบบสหรัฐอเมริกาและยุโรปอย่าง “รู้แยกแก่นทิ้งกาก” หรือแบบที่ “พุทธบุตร” อย่างท่านพุทธทาสแห่งสวนโมกข์เรียกว่าแบบ “เป็นลื้นงูในปากงู”) เคยกล่าวปาฐกถาไว้เมื่อครั้งรับรางวัล “การศึกษาเพื่อสันติภาพของโลก” ที่องค์การยูเนสโก กรุง ปารีส เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2537 ว่า : “ ...เมื่อเข้ามาในจริยธรรมแห่งความเอื้อประสานและความสุข วิธีคิดของเราจะเปลี่ยนไป เมื่อตั้งจิตคิดจะเอา เราจะมองคนอื่นเป็นคู่แข่งหรือเป็นเหยื่อ แต่เมื่อคิดจะให้ เราจะมองเขาด้วยความเข้าใจและเกิดความเมตตากรุณา ความเข้าใจความหมายของถ้อยคำต่างๆ ที่สำคัญต่อชีวิตของตน เช่นคำว่า ความเสมอภาค และความสุข เป็นต้น ก็เปลี่ยนไป เมื่ออยู่ในระบบการแข่งขัน คนจะมองความหมายของความเสมอภาคในแง่ของการปกป้องตัวเอง และเรียกร้องสิทธิและโอกาสที่เท่าเทียมกันในการแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตน แต่ในระบบประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามธรรม ความเสมอภาคกลายเป็นภาวะที่ช่วยให้เราเกิดมีโอกาสมากที่สุดที่จะร่วมมือสร้างสรรค์เอกภาพและประโยชน์สุขให้แก่สังคม ความสุขแบบแก่งแย่งแบ่งแยก กลายมาเป็นความสุขแบบประสานกลมกลืนกันได้ฉันใด ความเสมอภาคแบบแก่งแย่งแข่งขัน ก็เปลี่ยนมาเป็นความเสมอภาคแบบประสานกลมกลืนซึ่งกันและกันได้ฉันนั้น” ฟังแล้วพอเข้าใจขึ้นบ้างไหมว่า ทำไมล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 (ทรงประสูติในถิ่นตะวันตกแท้ๆ) ซึ่งทรงปฏิบัติพระองค์เป็นพุทธมามกะอย่างเข้มข้นมาตลอดพระชนม์ชีพ จึงทรงจับ “แก่น” แห่ง “พุทธธรรม” มาพระราชทานเป็นของขวัญอันวิเศษสุดแก่ “ราษฎร” ชาวไทยของพระองค์ นั่นคือพระบรมราโชบายที่ปรากฏเป็นแนวคิด “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นไงท่านนายกฯลุงตู่ได้สมาทานรับเอาความคิดนี้เข้าไว้ในศีรษะบ้างหรือเปล่า? หรือจะเป็นพวกผลผลิตของ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ในรอบ 6 ทศวรรษเช่นเดียวกันกับพวก “อเมริกันนิยม” ทั้งหลายด้วย? ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องเตรียมตัวไปขายแรงงานที่อเมริกากันเถอะ เพราะคนในสังคมไทยตอนนี้ ทำงานหนักทำงานเหนื่อยทำงานเสี่ยง ไม่เป็นกันแล้ว ต้องให้เพื่อนบ้านอย่าง คนพม่า คนลาว คนเขมร มาทำแทนอย่างที่เห็นๆกันอยู่ทนโท่นั่นไง! ช่างลงเอยเหมือนสังคม “ต้นแบบ” สหรัฐอเมริกาเสียจริง! ที่แรงงานพื้นฐานเพื่อขับเคลื่อนสังคมสำคัญๆแบบที่ว่า ต้องใช้ “แรงงานนำเข้า” จากบรรดา “พวกด้อยพัฒนา” อย่างคนไทย คนเม็กซิกัน คนลาตินอเมริกัน คนเอเซียที่เคยร่วมแพ้สงคราม (อย่างเวียดนามใต้) และวันนี้อาจจะพ่วงคนอัฟกานิสถานที่รักบูชาอเมริกันมากกว่าประเทศตัวเอง ที่เพิ่ง “เกาะเครื่องบิน” ไปหวังพึ่งบารมี “เมืองพ่อ” อีกพวกด้วยละมั้ง!!ฯ