ทองแถม นาถจำนง ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยสอนไว้ว่า นักหนังสือพิมพ์ควรมี “ปลิโพธ” คือต้องมีอะไรเหนี่ยวรั้งไว้บ้าง ไม่ควรจะใช้เสรีภาพเขียนอะไรตามใจตนเองทั้งหมด เรื่องบางเรื่องอาจเสียหายต่อชาติต่อประชาชนในองค์รวม เขียนแล้วชาติประชาชน “เสีย” มากกว่า “ได้” โดยเฉพาะเรื่องที่โยงใยกระทบกระทั่งไปถึงประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง แต่ทว่าบางเรื่อง ก็ควรเอาจริงเอาจัง เช่นเรื่องเกี่ยวกับพระสงฆ์ของไทยเราเอง แน่นอนว่า เมื่อ “พระ” ตกเป็นข่าวว่า ทำไม่ดี ทำผิด กระทั่งทำเลว อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ย่อมสะเทือนถึงศรัทธาชาวพุทธ ย่อมสร้างความเศร้าหมอง หม่นใจให้ชาวพุทธ แต่เราจะปล่อยให้ “พระ”ที่เสียพระ คือทำชั่ว ลอยนวลมีหน้ามีตา หลอกเอาเงินของญาติโยมไปถลุงเล่นไม่ได้ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้ใน “สยามรัฐหน้า 5” ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม 2515 เนื้อความตอนหนึ่งดังนี้ “เรื่องน้ำท่วม แผ่นดินไหว ฝนแล้ง อากาศร้อน เป็นเรื่องของธรรมชาติ ป้องกันแก้ไขได้ยาก ถึงจะเดือดร้อนอย่างไร บ่นกันไปก็แค่นั้น แต่การกระทำของมนุษย์เป็นเรื่องที่ป้องกันแก้ไข หรือระมัดระวังมิให้เกิดขึ้นได้ เมื่อมีคนทำอะไรในสิ่งที่ไม่น่าทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเคารพนับถือและหวังดี ก็เห็นจะต้องบ่นกันบ้าง ผมเองเป็นคนนับถือพระ เวลาเข้าหาพระก็นอบนบกราบไหว้ด้วยความเคารพอันเกิดจากใจจริง เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินว่ามีพระเป็นผู้ต้องหาในคดีที่ผิดกฎหมายบ้านเมือง หรือประพฤติการใด ๆ ที่นอกลู่นอกทางไม่ควรที่พระจะประพฤติ ผมก็เกิดความเดือดร้อนทุกที ความเดือดร้อนนั้นก็เป็นความเดือดร้อนที่เกิดจากใจจริงเช่นเดียวกับความเคารพที่มีต่อพระ หมู่นี้พระเป็นข่าวบ่อย และเป็นข่าวที่ออกจะไม่ดีเสียด้วย.................... อ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเช้านี้ ได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อเณรองค์หนึ่งถูกตำรวจจับ ครับ หลวงพ่อเณรองค์ที่ลงสรงในขวดที่จังหวัดฉะเชิงเทรานั่นแหละ ตำรวจไปจับตัวมาจากกุฏิเจ้าคณะจังหวัดชลบุรี แล้วนำตัวมายังโรงพักในกรุงเทพ ด้วยข้อหาว่าฉ้อโกงทรัพย์ หลวงพ่อเณรนั้นจะเป็นพระหรือเป็นเณรผมก็ไม่แน่ใจเสียแล้ว แต่ถ้าเป็นพระ และถ้าตำรวจพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงตามข้อกล่าวหา ก็เห็นจะต้องอทินนาปาราชิก เพราะทรัพย์ที่ตำรวจกล่าวหาว่าถูกฉ้อโกงนั้นมีจำนวนหลายหมื่นบาท เกินกว่าห้ามาสกเป็นแน่นอน เรื่องการประพฤติปฏิบัติของหลวงพ่อเณรองค์นี้ และองค์อื่น ๆ ผมเคยเขียนไปแล้วในหน้าหนังสือพิมพ์นี้ว่าเป็นเรื่องตลกไม่น่าเลื่อมใส ถึงอย่างนั้น พอรู้ข่าวว่าหลวงพ่อเณรถูกตำรวจจับ ผมก็อดเดือดร้อนไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน ข่าวที่ว่าตำรวจไปจับตัวมาได้จากกุฏิเจ้าคณะจังหวัดชลบุรีนั้น ยิ่งทำให้เดือดร้อนขึ้นไปอีก เพราะแสดงให้เห็นชัดว่าหลวงพ่อเณรนั้นมีพระผู้ใหญ่ในพระศาสนาเป็นผู้คุ้มครอง คอยปกปักรักษาให้ ก็ถูกละครับ ท่าต้องทำไปด้วยความเมตตาอันเป็นวิสัยของพระภิกษุ แต่ผมมันคนใจบาปหยาบช้า ได้ยินข่าวแล้วก็อดนึกในใจไม่ได้ว่า อ้อ ? พระสมัยนี้ก็มีปลอกคอกันแล้ว............ ก็เรื่องของเมตตาอีกนั่นแหละครับ ผมสงสัยอยู่นิดเดียวว่า ความเมตตาซึ่งทำให้ผู้ใหญ่ให้ความคุ้มครองแก่พระในการปกครองให้พ้นผิดจากข้อกล่าวหาต่าง ๆ โดยอาศัยผ้าเหลืองและความเคารพของชาวบ้านเป็นเครื่องคุมกันตัวให้พ้นผิดนั้น จะเป็นการรักษาพระศาสนาและเชิดชูพระศาสนาไว้ได้อย่างแท้จริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าได้ทรงตั้งวินัยสงฆ์อันเป็นศีลปาฏิโมกข์ขึ้นถึง 227 ข้อ ตลอดจนศีลนอกปาฏิโมกข์อีกเป็นอันมาก ก็เพราะทรงฟังเสียงชาวบ้านตำหนิติเตียนพระภิกษุสงฆ์เป็นส่วนใหญ่ พระธรรมวินัยเหล่านั้นเป็นเครื่องคุ้มครองให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองและบริสุทธิ์มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ การที่พระภิกษุสงฆ์ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก็ดี หรือสงฆ์เพิกเฉยต่อพระภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยก็ดี น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้พระศาสนาต้องเศร้าหมองทรุดโทรมไปเป็นแน่แท้ ทั้งหมดนี้ผมพูดไปในฐานะที่ผมเป็นฆราวาส ถึงจะไม่มีใครฟัง ก็เห็นจะต้องพูดกันบ้างละครับ” “ข่าวพระ” สมัยนี้ มันร้ายแรงเสียยิ่งกว่า เรื่อง “หลวงพ่อเณร”อาบน้ำในหระทะน้ำมันร้อน ๆ เสียอีก เพราะมันเกี่ยวถึงการคอร์รัปชันงบประมาณแผ่นดิน “ข่าวพระ” ย่อมทำให้จิตใจคนไทยเร้าหมองได้ แต่การฟื้นฟู ปรับปรุงแก้ไขปัญหาในวงการสงฆ์ ก็จำเป็นต้องมี “ไม้แข็ง” กันบ้าง ข่าวพระที่ทำให้พุทธบริษัทเศร้าใจจึงคงยังต้องมีอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้น เราอาจจะมีความสุขใจกันมากขึ้นครับ