สถาพร ศรีสัจจัง ฤดู “โควิดต้องอยู่ติดบ้าน” ได้แต่นั่งๆนอนๆให้เบื่อหน่าย ได้หนังสือที่ระลึกงานศพมาเล่มหนึ่ง เปิดดูข้างในพบว่า นอกจากประวัติผู้วายชนม์ ภาพถ่ายที่เกี่ยวข้อง คำไว้อาลัย ฯลฯ และอะไรจิปาถะ เท่าที่หนังสือที่ระลึกงานศพจะพึงมีแล้ว เนื้อในส่วนหลังสุดพบว่า เป็นเนื้อหาเต็มเรื่องจากวรรณคดีเล่มสำคัญของไทยเรื่อง “โลกนิติคำโคลง” (ฉบับสมบูรณ์) ของกรมพระยาเดชาดิสร จำไ ด้ว่า ตอนเป็นนักเรียนมัธยม มีเหตุหลายประการที่ทำให้ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างค่อนข้างละเอียดจริงจัง ทั้งที่เกี่ยวกับการสอบและการต้องไปแข่งขันตอบคำถามเกี่ยวกับภูมิรู้เรื่องวรรณคดีไทยกลับมาอ่านครั้งใหม่คราวนี้ ดูเหมือนความรู้สึกที่ตกกระทบกับมุมที่มองเห็น จะแตกต่างเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งเมื่อยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่มากมายหลายเรื่องหลายประเด็น ในหลายเรื่องเหล่านั้น มีเรื่องเกี่ยวกับสภาพการเมืองและนักการเมืองไทยยุคนี้รวมอยู่ด้วย! นักการเมืองไทยที่ “ถูกคิดถึง” และ “ถูกรู้สึก” โยงเกี่ยวกับ “โคลงโลกนิติ” มากที่สุดในครั้งนี้ก็คือ “นายกฯลุงตู่” คนใจดียิ้มสวยของ “ผู้กองธรรมนัส” (ผู้มีภรรยา “ทั้งสวยทั้งเก่ง” เหมือน “สาวเชียงขวาง” แห่งเมืองสปป.ลาว แบบทำให้ผู้ชายไทยไม่น้อยต้องอิจฉากันทั้งบ้านทั้งเมือง)คนนั้นนั่นเอง! โคลง 4 สุภาพบทแรกที่ทำให้คิดถึงนายกฯลุงตู่มาก ก็คือบทนี้ : " สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ/ในตน กินกัดเหล็กเนื้อจน/ก่อนขร้ำ บาปเกิดแต่ตนคน/ เป็นบาป บาปย่ำทำโทษซ้ำ/ ใส่ผู้บาปเองฯ นายกฯลุงตู่เรียนหนังสือมาจากโรงเรียนนายร้อยฯ ยุคที่องค์สมเด็จพระขนิษฐาธิราชเจ้าฯ คือสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ยังไม่เสด็จฯไปเป็นพระอาจารย์ผู้สอน จึงไม่แน่ใจนักว่า นักเรียนนายร้อยทหารยุคนั้นจะมีความสนใจวรรณคดีไทยที่ให้ “คติธรรม” อย่าง “โคลงโลกนิติ” บ้างหรือเปล่า ? ถ้านายกฯลุงตู่ เคยเรียนหรืออ่านโคลงบทนี้อย่างเข้าใจมาก่อน ก็คงจะเห็นลึกลงไปถึงกึ๋นว่า ในบาทแรกของโคลงชี้ให้เห็นถึงคติเกี่ยวกับอะไร ? ก็บาทที่ว่า “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ/ในตน” นั่นแหละ! คงชี้ให้เห็นได้ชัดใช่ไหม ว่า “เหล็ก” ดุ้นที่ชื่อ “พรรคพปชร.” ที่ท่านนายกฯลุงตู่กับ “พี่ซี้” อีก 2 ป. ร่วมกันผลักร่วมกันดันก่อตั้งขึ้นมา เพื่อหนุนให้ตนได้เข้าสู่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีในระบบประชาธิปไตยของประเทศไทย” อย่างสง่างามนั้น มันเกิดสนิมขึ้น จนทำให้ตัวนายกฯลุงตู่ เองเกือบต้องเป็นบาดทะยักตายได้ยังไง! ที่สำคัญก็คือ เรื่องน่าจะยังไม่จบแค่นี้นะคร้าบ... เพราะฉะนั้น ตอนนี้ถ้านายกฯลุงตู่ พอมีเวลาจากการต้องลงพื้นที่เพื่อปรับตัวสู้ศึก (ก็เคล็ดตามกุนซือเสนอ?) ก็ลองหาโอกาสหยิบหนังสือเก่าๆที่บอกเรื่อง “รากทางความคิด” ของสังคมไทยได้อย่างยอดเยี่ยม อย่าง “โคลงโลกนิติ” มาอ่านตุนไว้บ้างก็น่าจะดี! เพราะน่าจะยังมีอีกหลายบทที่ลุงตู่ต้องเจอ รู้ไว้ก่อนจะได้ปรับตัวทัน! อย่างน้อยถ้าได้อ่านบทต่อไปนี้ ท่านนายกฯลุงตู่ ก็น่าจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น บทที่เกี่ยวกับ “ปลาร้า” นั่นแหละ ท่านว่าของท่านไว้อย่างนี้ : " ปลาร้าพันห่อด้วย/ใบคา ใบก็เหม็นคาวปลา/คละคลุ้ง คือคนหมู่ไปหา/คบเพื่อน พาลนา ได้แต่ร่ายร้ายฟุ้ง/เฟื่องให้เสียพงศ์ฯ แม้ว่าก่อนที่ท่านนายกฯลุงตู่จะกระโดดขึ้น “เวทีลุยไถ” คือเวทีการเมืองไทย ท่านก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วแหละว่า ในวงการนี้มี “ปลาร้า” อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นประเภทเน่าแรง เน่าปานกลาง และเน่าน้อย ไอ้ที่ไม่เน่าเลยนั้น ย่อมเป็นที่รู้ที่เชื่อกันแบบ “พนันเด็กกินขนมได้” ว่าไม่มี! ท่านนายกฯลุงตู่ อาจจะคิดว่าตัวเองเป็น “ใบหญ้าคา” ที่แสนจะสะอาด น่าจะใช้ห่อนักการเมืองประเภท “ปลาร้า” ให้หายเหม็นคลุ้งได้ แต่โคลงโลกนิติเตือนไว้แต่โบราณนานมาแล้วว่า “ไม่มีทาง”! เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ท่านคงต้องท่องโคลงบทนี้ไว้เตือนตนให้ขึ้นใจเชียวหนา ว่า ต้องพยายามเลี่ยงไม่ไปสมาคมกั บบรรดานักการเมืองที่เหม็นเน่าเหมือนปลาร้าพวกนั้นให้มากนัก ไม่เช่นนั้นลงท้ายท่านก็ต้อง “ได้แต่ร่ายร้ายฟุ้ง/เฟื่องให้เสียพงศ์ฯ” เหมือนกับที่ “โคลงโลกนิติ” บอกไว้นั่นไง! แถมให้อีกสักบทก็แล้วกัน บทนี้ก็ต้องท่องให้ขึ้นใจไว้เหมือนกัน แล้วก็ต้องนำไปปฏิบัติให้ได้ด้วยนะจ้ะ(ถ้าต้องการอยู่ในวงการการเมืองไทยนานๆ อย่างท่านประธานรัฐสภาคนปัจจุบัน,เป็นต้น!)รับรอง-ถ้าทำได้ ท่านจะต้องได้เป็น “ขวัญใจสื่อมวลชนและมหาชน” อย่างแน่นอน! : " อ่อนหวานมานมิตรล้น/เหลือหลาย หยาบบ่มีเกลอกราย/เกลื่อนใกล้ ดุจดวงศศิฉาย/ดาวดาษ ประดับนา สุริยาส่องดาราไร้/เพื่อร้อนแรงแสงฯ" ที่ท่านเชื่อของท่านมาเสมอว่า “ผมเป็นทหารพูดอ่อนหวานไม่เป็น” นั้นนะ หลายคนเขาบอกว่า ท่านคงลืมไปแล้วสิว่า ก่อนจะเป็นทหารนั้นท่านเป็น “คน” มาก่อน! และคนนั้นย่อมที่จะสามารถเรียนรู้เรื่องความมี “ปิยวาจา” หรือการใช้คำพูดที่อ่อนโยนอ่อนหวานได้ทุกคนแหละ ถ้าจะฝึกหรือถ้าอยากทำเพื่อให้ “ประชาชนชื่นใจน่า,ลุงตู่น่า ลองเป็น “คน” ดูอีกสักทีเถอะ จะได้รู้ว่ากลิ่นมันดีกว่าปลาร้าเชียวแหละ!