สถาพร ศรีสัจจัง โจทย์ใหญ่ของโลกวันนี้คือ จะจัดการอย่างไรกับ “ปัญหาโลกร้อน”? ด้วยว่าสิ่งนี้คือเหตุปฐมฐานที่ตระหนักชัดได้โดยทั่วกันในทำนองเป็น “สิ่งที่เห็นจริงแล้ว” ว่าคือเหตุ “มหาวินาศ” ของ “ดวงดาวสีน้ำเงิน” ที่ชื่อ “โลก” ดวงนี้! ภาพการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเรื่อง “ภูมิอากาศ” และ “ฤดูกาล” (The climate chance) ที่ก่อหายนภัย และ โศกนาฏกรรมแก่มนุษยชาติทั่วโลกที่หนาหนักขึ้นทุกปีๆ บอกเราว่า เพราะระบบ “รัฐศาสตร์” ในบาง “พื้นที่” (ภูมิ) ที่มนุษย์บางกลุ่มนำมาเป็น “เครื่องมือ” ในการจัดการสังคมของตัวเอง และสังคมโลกนั่นเอง คือ “เหตุเบื้องต้น” ในการทำให้โลกต้องเผชิญสถานการณ์ “Climate chance” อันแสนจะเลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้! เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อชาติ “จักรวรรดินิยม” ตัวร้ายยุคเก่า อย่างสหราชอาณาจักร (Grate Britain) หรือที่นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า “ประเทศอังกฤษ” เริ่มค้นพบ “นวัตกรรม” ที่เรียกกันว่า “เครื่องจักรไอน้ำ” ขึ้นทดแทนการใช้แรงคน และสัตว์ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ น่าจะสักประมาณช่วงกลางๆหรือปลายๆศตวรรษที่ 17 คือเมื่อสัก 250 ปีก่อนนั่นเอง การค้นพบเครื่องจักรไอน้ำของอังกฤษนี่เองที่ทำให้ก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรม”(Industrial Revolution) ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก จากนั้นก็มีการ “พัฒนา” ระบบและเครื่องมือการคมนาคมที่สำคัญๆ เช่น ถนนและทางรถไฟ การผลิตในระบบอุตสาหกรรมดังกล่าว ก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่า “Mass product” ขึ้นอย่างกว้างขวาง จากอังกฤษ “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ก็ลามขยายเข้าสู่ยุโรปตะวันตก อเมริกาเหนือ และญี่ปุ่น ท้ายสุดก็กระจายไปทั่วโลก ในห้วงเวลาประมาณ 250 ปีจากจุดเริ่ม “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” จนถึงปัจจุบัน บรรดาชาติ จักรพรรดินิยมและชาติร่ำรวยในยุโรปและอเมริกาเหนือ(รวมทั้งญี่ปุ่นที่ตามหลังมาติดๆ)ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “บรรดาประเทศที่ทรงอำนาจของโลก” ได้ร่วมกันระดมใช้ “ทรัพยากรธรรมชาติของโลกอย่างสิ้นเปลือง (และไม่อนุรักษ์)” ด้วยราคาต้นทุนที่ถูกแสนถูก เพื่อผลิตเป็นสินค้า กระตุ้นให้ก่อเกิด “ระบบทุนบริโภคนิยม” ขึ้นอย่างรวดเร็ว และกว้างขวาง จนกลายเป็นระบบเศรษฐกิจกระแสหลักของโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน เป็นช่วง 250 ปีแห่งการขุดเอาธาตุพลังงานฟอสซิล เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และ ปิโตรเลียม ขึ้นมาใช้อย่างไม่มีการบันยะบันยัง มีการตัดฟันต้นไม้ (แบบที่เรียกว่า “ล้างผลาญปา”) ในขอบเขตทั่วโลกอย่างบ้าคลั่ง (ในนามของการ “พัฒนา”ทั้งหลาย) มีการปล่อยก๊าซอันตรายมากมายหลายชนิดอย่างไม่เคยสนใจว่าจะเกิดวิกฤติอะไรตามมา ทั้งก๊าซประเภทคาร์บอน มีเทน และอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก อันนำมาซึ่งภาวะที่เรียกกันว่า “วิกฤติโลกร้อน” อย่างที่ประจักษ์กันอยู่ในปัจจุบัน! ก่อเกิดภาวะที่เรียกว่า “ธรรมชาติสิ้นชีวิติอินทรีย์สูญ”ขึ้นในโลกมนุษย์อย่างน่าสังเวชเพทนา! ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ ล้วนได้รับการเปิดเผยโดยนักวิชาการและกลุ่มคนที่มีเจตนาดี ต่อโลกและต่อมนุษยชาติ (แต่ไร้อำนาจต่อรอง) มาโดยตลอดในช่วงยุค 250 ปีแห่งการพัฒนาโลก ภายใต้วาทกรรม “การปฏิวัติอุตสาหกราม” แต่ “ทุนนิยมโลก” ไม่เคยใส่ใจ! จนองค์กรที่ได้รับการอุปโลกห์ให้เป็นที่รวมของประชาติแห่งโลกคือ “องค์การสหประชาชาติ” ต้องถูกกดดันให้ต้องดำเนินการตามหน้าที่ตน โดยการกระตุ้นเตือนให้บรรดาชาติสมาชิกได้ร่วมกันรับรู้ว่า “โลกกำลังเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่” ที่เรียกว่า “ภาวะโลกร้อน” อยู่นะ ต้องเร่งช่วยกันแก้ไขโดยด่วนที่สุด! เรื่องราวดังว่า ปรากฏร่างเป็นรูปธรรมขึ้นครั้งแรกเมื่อ ปีค.ศ.1992! ตราไว้ได้ว่า ในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1992 ณ สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาติ กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา “ภาคีสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ได้ก่อเกิด “อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ( United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC)ขึ้น และ มีการลงนามของชาติสมาชิกต่างๆใน “สัตยาบันการประชุมของสหประชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา” ( United Nations Conference on Environment and Development : UNCED) ร่วมกันอีกครั้งในเดือนมิถุนายน ปี 1992 นั่นเอง! วัตถุประสงค์สำคัญที่เป็นรูปธรรมของสัตยาบันครั้งนี้ อาจพอสรุปได้ประมาณว่า “เพื่อร่วมกันรักษาระดับความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลกให้คงที่ในระดับที่จะไม่เป็นอันตรายต่อระบบสภาวะอากาศ เพื่อให้เหมาะต่อระบบนิเวศในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อป้องกันผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบการผลิตอาหาร และเพื่อการส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน” อะไรทำนองนี้นี่แหละ! ผลที่เกิดตามมาก็คือ จากวันลงนามในสัตยาบันจนถึงวันนี้ องค์การสหประชาติได้จัดประชุมในเรื่องดังกล่าวในนามการประชุมที่เรียกว่า “Conference of the Parties” หรือที่เรียกชื่อย่อกันว่า “COP.” กันมาแล้วถึง 25 ครั้ง เรียกว่าเคยจัดขึ้นแทบในทุกทวีป ทั้งยุโรป อเมริกา ลาตินอเมริกา เอเซีย และแอฟริกา กระทั่งที่ฉาวๆอยู่ตอนนี้นั่นไง!ว่า ในปี 2021 นี้ จะเกิดการประชุมครั้งสำคัญของเรื่องนี้ขึ้นที่ กรุงกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ โดยมีสหราชอาณาจักรเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเรื่องนี้ คนไทยย่อมรู้ดี เพราะนายกฯลุงตู่ของเราได้รับเชิญให้กล่าวSpeech ในงานนี้ด้วยนี่นา!!!