สถาพร ศรีสัจจัง ภาคีอนุสัญญาเรื่องโลกร้อนขององค์การสหประชาติ(ขอเรียกแบบสะดวกปาก)จบลงด้วยความรู้สึกไม่ปลื้มของบรรดานักเคลื่อนไหวและนักวิชาการที่สนใจเรื่องภาวะโลกร้อนอย่างทั่วหน้า ที่ว่า “ไม่ปลื้ม” ก็เพราะได้เห็นชัดถึง “ธาตุแท้” ของบรรดา “ผู้นำโลก” ทั้งหลายว่า ขาดความ “ตั้งใจ” และ “จริงใจ” ในการที่จะ “ร่วม” แก้ปัญหาความหายนะของโลกโดยรวมที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้า โรคระบาดใหม่และใหญ่(อย่างโควิด-19 เป็นตัวอย่าง) น้ำท่วมใหญ่ (กระจายไปทั่วทุกดินแดนในผืนโลก) ไฟป่าขนาดใหญ่และรุนแรง ภาวะแห้งแล้งอย่างรุนแรง ระบบชีวภาพของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ป่าไม้ยังถูกทำลายพร่าผลาญลงไม่เว้นแต่ละวัน เกิดวิกฤติพลังงานโลก ฯลฯ และที่น่ากลัวสุดก็คือ ระบบทุนนิยมบริโภคนิยมผูกขาด ได้ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนและรุนแรงขึ้นในขอบเขตทั่วโลก ทั้งระหว่างชาติและระหว่างคนในแต่ละชาติ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ฯลฯ ผลรูปธรรมที่เห็นจากการประชุม COP26 ขององค์การสหประชาชาติครั้งนี้ น่าจะอยู่ที่มีการลงนามกันในข้อตกลง 2-3 เรื่อง ที่สำคัญคือเรื่องการเลิกหรือลดการใช้พลังงานถ่านหิน การทำลายป่า และการควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทน บางใครว่า ที่น่าสนใจคือ “คำสัญญา” ที่ถือเป็น “เซอร์ไพรส์” ส่งท้าย (ปรากฏตัวในวินาทีสุดท้ายของการประชุม)คือข้อสัญญาของ 2 มหาอำนาจโลกยุคปัจจุบัน คือสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ให้สัญญาว่า จะควบคุมการปลดปล่อยก๊าซพิษที่ทำให้โลกร้อนขึ้นร่วมกัน โดยจะทำให้ได้ในระดับหนึ่งภายใน 10ปี ทั้งเรื่องการใช้พลังงานถ่านหิน การปล่อยก๊าซมีเทน และคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น ท่ามกลาง “กระแส” ความเห็นแก่ตัว (ที่ล้วนให้เหตุผลว่าเพื่อเอาตัวรอด)ทั้งของ “มหาชาติ” คือชาติที่ “พัฒนาแล้ว” และบรรดา “อนุชาติ” หรือชาติเล็กๆกระจอกๆที่มุ่งเส้นทางพัฒนาตามก้นบรรดา “มหาชาติ” หรือชาติผู้เป็นใหญที่ “พัฒนาแล้ว” เหล่านั้น ชาติที่ “กำลังพัฒนา” ประเทศหนึ่งที่ชื่อ “ประเทศไทย” ได้แสดง “วิชั่น” ของ “ชนกลุ่มนำ” ที่มีบทบาทชี้ขาดในการกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศอย่างชัดเจนว่า “ข้าจะไม่ลงนามในสัญญาเหล่านั้น” แม้สักฉบับเดียว ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเรื่องการไม่ทำลายป่าไม้ การเลิกใช้พลังงานถ่านหิน และอื่นๆ เหตุผลก็คือ ก็ข้า “กำลังพัฒนา” นี่หว่า โครงการที่(พวกข้า)กำลังจะได้รับปันผลเห็นอยูเหนาะๆ แล้วจะให้ประกาศยกเลิกได้ยังไง? ขืนไปลงนามซี้ซั้ว เดียวก็โดนพวก “รวยแล้ว” อย่างยุโรปอเมริกา ไล่บี้เอาในตอนหลังแบบสบายๆเอาเปล่าๆ เรื่องอะไรจะต้องไปหลงลม! บรรดานักวิเคราะห์สถานการณ์ระดับโลกหลายรายจึงวิเคราะห์เรื่องนี้ตามหลัง “การไม่ลงนาม” ของตัวแทนจากเมืองไทยดังกล่าวตรงกันว่า นี่เป็นการ “เสียโอกาส” ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของประเทศ “สารขัณฑ์” ของท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ล่วงลับ..เอ้ย..ไม่ใช่ ของบรรดา “บิ๊ก” ทั้งหลาย (ที่ยุคนี้ฟังว่า คือ 3 บิ๊ก ได้แก่ บิ๊กตู่ บิ๊กป้อม และ บิ๊กป๊อก และจริงหรือเปล่า,ที่ว่าอีกไม่นาน อาจะเหลือเพียงบิ๊กเดียว?)ต่างหาก!! ก็ว่ากันไปตามเรื่องตามราว ของบรรดา “ท่านผู้นำ” ที่ล้วนแล้วแต่เป็น “ชนชั้นสูง” (ไม่ใช่ “ศักดินา”?) ทั้งหลายละเนาะ! ชาวบ้านสามัญอย่างเราๆก็น่าจะทำได้เพียงบ่นบ้าและเฝ้ามองด้วยตาละห้อยแค่นั้นละมั้ง... กลางเส้นทาง “วิกฤติโลกร้อน” ที่เกิดจากมนุษย์ (โดยเฉพาะพวกชาวเมืองใหญ่และเมืองอุตสาหกรรมทั้งหลาย)ที่ร่วมสร้าง “ภาวะก๊าซเรือนกระจก” อันประจักษ์อยู่ตรงหน้าตรงตาขึ้นนี่เอง ข้อมูลเกี่ยวกับ “ทางรอด” ของมนุษยชาติในยุค “เงินเป็นใหญ่กำไรสูงสุด” ที่ก่อเกิดโลกทัศน์ซึ่งสวนทางกับ “วิถีพอเพียงยั่งยืน” ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ที่ได้รับการตอกย้ำอย่างสำคัญจากในหลวงรัชกาลที่ 9ของประเทศไทยอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ก็ปรากฏ “กระแสทางเลือก” เห็นเป็นร่องรอยขึ้นอย่างบางเบาว่า เมื่อสังคมส่วนใหญ่กลายเป็น “ทาส” ของระบบตะกละพอกกิเลสไม่รู้พอเพียงแบบทุนนิยม ไปเรียบร้อยแล้ว ก็อย่ากระไรเลย “แนวทางปัจเจก” คือ “ลงมือกันคนละแรง” จากพวกแบบเราๆนี่แหละที่จะเป็นหนทางต่อกร! นั่นคือ “เริ่มที่เรา!” ถามว่าจะเริ่มอย่างไรดีละ คำตอบคือ “ดูดซับและลดการปลดปล่อยก๊าซร้ายอย่างคาร์บอนฯให้มากที่สุด,เพิ่มออกซิเจนให้กับโลกโดยตรงให้มากขึ้นและเร็วขึ้น!” โดยวิธีที่ทุกคนทำได้ทันทีคือ “ลงมือปลูกต้นไม้” !เพื่อสร้าง “ป่า” ให้กระจายไปให้ทั่ว! พร้อมกันนั้นก็ต้องเร่งสร้างกระแสสำนึก “การเลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยว” ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะการส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยวนั่นแหละคือที่มาของการ “ทำลายป่า” ที่แท้จริง! ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย และ ฯลฯ พืชเชิงเดี่ยวที่มีประวัติการทำลายป่าในเขตมรสุมร้อนชื้นทั้งหลายมาอย่างยาวนาน จะต้องได้รับการ'จัดการ'อย่างเบ็ดเสร็จและชาญฉลาดเชิงนโยบาย(ไม่กระทบต่อเกษตรกรรายย่อยอย่างรุนแรง!)ของชนชั้นปกครองที่มัก'ปากดี'ทั้งหลาย! ช่วยกันท่องผลการวิจัยระดับโลกที่สรุปไว้อย่างชัดเจนเป็นวิทยาศาสตร์แล้วว่า “ไม้ยืนต้นต้นหนึ่ง สามารถผลิตออกซิเจนให้คนใช้สอยได้ 2 คนต่อวัน(นี่ยังไม่นับการช่วยดูดซับคาร์บอน)” ให้ดังก้องโลกพร้อมๆกันสิ! แล้วจะรออะไรอยู่ละ? ใครที่พอมีศักยภาพทำได้ ก็ควรลงมือเสียแต่วันนี้เลย หรือจะต้องรอให้คนอย่างนายกฯ ลุงตู่อะไรนั่นมาบอกอีก? รอทำไม ไม่เห็นเหรอ แกมาช้าทุกทีและมักจะทุกเรื่องเสียด้วยสิ!!!