แสงไทย เค้าภูไทย แม้เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวรับปี 2021 อาเซียนฟื้นตาม แต่ไทยดูจะไม่สดใส ถูกจัดอันดับเติบโตทางเศรษฐกิจรองบ๊วย เวียดนามพุ่งแรงสุดในโลก จากการจัดอันดับอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของธนาคารพัฒนาการแห่งเอเชีย (ADB) จากตัวเลขสถิติปี 2564 ที่กำลังจะสิ้นไปใน 15 วันข้างหน้า สิงคโปร์โตสูงสุด 6.5%จากเฉลี่ยอาเซียนโต 3.1% โตต่ำสุดคือเมียนมา -18.4% จากผลพวงของการทำรัฐประหารของทหาร ส่วนไทยโตรองต่ำสุดที่ 0.8% ต่ำกว่าลาวที่โต 2.3% อันดับห่างกันถึง 4 อันดับ สำหรับทั้งโลก อินเดียมาอันดับ 1 ด้วยอัตราเติบโต 10.0% จีนถัดมา 8.1% ฮ่องกง ไต้หวันเท่ากัน 6.2% เกาหลีใต้ 4.0% สำหรับชาติขนาดเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกสหรัฐอเมริกา โต 6.5% คาดหมายปีหน้า 8.5% เป็นที่น่าจับตาเวียดนามที่เดินตามจีนด้านเศรษฐกิจ ที่แม้ตัวเลขปีนี้จะไม่สู้ดีนัก แต่การกระตุ้นการผลิตเน้นห่วงโซ่อุปทาน ทำให้สินค้าอุตสาหกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนอัตราเติบโตของจีดีพี ที่ปีหน้าตั้งเป้าไว้ที่ 6-6.5% จีนนั้น อัตราเติบโตยามนี้ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หลักคืออุตสาหกรรมการผลิต นำหน้าอุตสาหกรรมบริการและการบริโภคภายในประเทศ สำหรับไทย เครื่องยนต์ตัวสำคัญที่ขับเคลื่อนอัตราเติบโตจีดีพีคือการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งต้องพึ่งพาเศรษฐกิจภายนอก แต่เพราะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่สร่างซา ทำให้ความคาดหวังจากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ตรงเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นรายได้หลักในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แม้จีนจะมีการระบาดไม่รุนแรง ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มอยู่ระดับตัวเลข 2 หลักหรือ 3 หลักต้นๆเป็นระยะๆ แต่รัฐบาลจีนก็ยังเข้มงวดกับการเดินทางของประชาชนของตน ไม่ว่าจะเดินทางข้ามเมือง ข้ามมณฑลหรือข้ามประเทศ ทั้งนี้เพราะจีนยังฝังใจอยู่กับฝันร้ายที่เกิดจากการระบาดที่อู่ฮั่นอยู่ การที่จะหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวนับล้านๆคนจากจีนเข้ามาเหมือนก่อนเกิดไวรัสระบาด จึงเป็นไปได้ยาก หรือแม้แต่ในประเทศ การระบาดของโควิด-19 แม้จะเป็นขาลง ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันลดลงจนใกล้จะถึงระดับเดือนเมษายนอันเป็นจุดเริ่มต้นการระบาดระลอกที่ 2 แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะยอดผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีนยังต่ำมาก ยังมีผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 อยู่ถึง 70,000 คน ส่วนผู้ที่ได้รับการฉีดเข็มที่ 2 ที่ถือว่ามีภูมิสูงสุดที่แม้ติดเชื้อ ก็จะหายเร็วหรือไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล รักษาตัวที่บ้านหรือบางคนแข็งแรง หายเองได้เมื่อภูมิ(antibody) สามารถกำจัดไวรัสได้หมด ในการหยุดการแพร่ระบาดนั้น ภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) เป็นสิ่งสำคัญที่จะคุ้มครองมิให้เกิดการแพร่ระบาด การจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้นั้น ประชากรไทยจะต้องได้รับารฉีดวัคซีนเข็ม 2 ถึง 70-75% ของจำนวนประชากร 70 ล้านคน หรือ 49-52.5 ล้านคน แต่จนถึงวันนี้ คนไทยได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เพียง 43.3 ล้านคนหรือราว 59.9% เท่านั้น ด้วยศักยภาพในการฉีดต่อวันระดับปัจจุบัน กว่าจะฉีดได้ถึง 70-75% ตามเป้าหมาย จะต้องใช้เวลาอีกถึง 45 วัน ซึ่งตกราวเกือบกลางกุมภาพันธ์ปีหน้าถึงจะฉีดได้จำนวนที่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ในช่วงเวลานี้ ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดไวรัสกลายพันธุ์ใหม่ระบาดอีกหรือเปล่า บรรยากาศทางด้านเศรษฐกิจจึงยังอึมครึมอยู่ ปีใหม่คงจะไม่สดใสเท่าใดนัก