สถาพร ศรีสัจจัง ทรรศนะของกวีที่แสดงต่อ “สงคราม” นั้น มักจะมีฐานการคิดการมองอยู่ที่เพื่อสำแดงทรรศนะต่อโลก ต่อชีวิต และต่อจักรวาล และ เพื่อจะบอกเล่าว่า คนกลุ่มนี้เขาคิดอย่างไรต่อ “สงคราม” แห่งการทำลายล้าง (ไม่ว่าฝ่ายใดจะ “อ้าง” ว่า “ถูก” หรือ “ผิด”/ไม่ว่าจะ “อ้าง” ว่าเป็น “สงครามที่เป็นธรรม” หรือ “ไม่เป็นธรรม”) อย่างที่ปรากฏประจักษ์ตาประจักษ์ใจต่อชาวโลกอยู่บัดนี้ คือปรากฏการณ์ทำลายล้างชีวิต และทรัพย์สินของมนุษยชาติระหว่างรัสเซียฝ่ายหนึ่งกับยูเครนอีกฝ่ายหนึ่ง ยูเครนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “สงครามรุกราน” ขณะที่รัสเสียเรียกว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร”! วันนี้เราจะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น,แต่จะสนใจว่า “กวี” เขาคิดถึง “สงครามโลก และมนุษย์” อย่างไร โดยจะขอหยิบยืมงานบางส่วนจากบทกวีขนาดยาวเรื่อง “แด่ ดาวโลก” ของ “รุ่งอรุณ ณ สนธยา” หรืออาจารย์โกวิท เอนกชัย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ชาวสงขลามาเป็นตัวแทนเพื่อตอบความ ลองอ่าน ลองฟัง แล้วพินิจพิจารณาร่วมกันดู,บางทีจิตอันเป็นทุกข์มืดมัวจากเหตุตกกระทบที่ดำรงอยู่อาจกระจ่างใสและ “ปล่อยวาง” ลงได้บ้าง ท่านว่าไว้ดังนี้ : (1) “… โลกไม่ใช่ดวงดาวในจินตนาการของเรา มันไม่ได้ตั้งอยู่ในอดีต อันแปดเปื้อนเลือดและน้ำตา จากสงครามอันน่าอัปยศ โลกไม่ใช่ดวงดาวแห่งอนาคต อันซับซ้อนด้วยข่าวสาร เครือข่ายจารกรรม โลกไม่อาจมั่นคงด้วยกองทัพ และอาวุธทันสมัย หรือสนธิสัญญาสันติภาพอันทรงเกียรติ โลกไม่ใช่แหล่งไล่ล่าเพื่อครองความเป็นเจ้า… ……………………………………… แต่โลก,คือสิ่งมหัศจรรย์อันประจักษ์กับดวงจิต และโลกคือ สภาวะทั้งหมดของชีวิต อันเปิดเผยหมดสิ้น ณ ขณะนาทีนี้… โลก คือมรรควิถีแห่งการสร้างสรรค์ไม่รู้สิ้น ของธรรมนูญธรรมชาติ ทั้งไม่แปลกแยกจากดวงจิตที่รู้นั้น. (2)… มันผิดพลาดคลาดเคลื่อนที่ลงเห็นว่า วิวัฒนาการขีวิตเกิดแต่การแข่งขันคัดเฟ้นเข่นฆ่า ผู้เก่งกล้าย่อมอยู่รอด และผู้ด้อยย่อมย่อยยับ แท้จริง,วิวัฒนาการคือภาวะงอกงามสร้างสรรค์ ภายใต้องค์รวมร่วมประสานพลัง ไม่มีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ ผู้กระทำไม่แยกจากผู้ถูกกระทำ ไม่มีสิ่งใดสูญหาย ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้โดยเอกเทศ…" โดยขอผ่านบท 2 และ 3 ไป,ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ และนี่คือบางวรรคในบทสรุป : "… ดาวโลก คงจะไม่ถูกทิ้งร้าง ก่อนการออกเดินทางสู่ห้วงอวกาศ เพื่อแสวงหาถิ่นฐานใหม่ ด้วยเหตุระบบนิเวศน์หักยับ และ อารยธรรมเยี่ยงมนุษย์แท้ล่มสลายลง ขอเพียงเราก้มหน้าดูแผ่นดินโลกที่ถูกละเลย และหลงลืมว่าโลกคือเรา… และเราต่างหายใจเข้า-ออก ด้วยความรัก ในสรรพชีวิตทั้งมวล… ……………………………………………………ฯ ก่อนจบข้อเขียนนี้ อยากบอกที่มาของบทกวีซ้ำอีกสักครั้งหนึ่งว่า เป็นชิ้นงานที่ท่านกวีคือ “รุ่งอรุณ ณ สนธยา” หรือท่านโกวิท เอนกชัย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์และวิปัสนิกร่วสมัยคนสำคัญ เขียนขึ้นแต่เมื่อปีพ.ศ. 2542 เพื่อใช้อ่านในวาระการเปิดงานธรรมยาตรา(รอบทะเลสาบสงขลา)ครั้งที่ 4 ณ วัดท้ายยอ ตำบลเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ก็รู้อยู่หรอกว่าบรรดา “มนุษย์สงคราม” ไม่ว่าจะในนามของอะไร,ไม่ว่าจะเป็นอดีตเคจีบี.อย่างนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีประเทศรัสเซีย หรือนักแสดงละครตลกอย่างนายวอลอดือมือร์ แซแลนสกีย แห่งประเทศยูเครน หรือใครก็ตามที่ย่างเดินอย่างมั่นใจอยู่ในเส้นทางสาย “ทุน” แทนที่จะเดินตามเส้นทางสาย “ธรรม” ย่อมจะไม่ได้ยิน หรือถ้าได้ยินก็ย่อมไม่เข้าหูเป็นธรรมดา! ยิ่งคนอย่างนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของประเทศจักรวรรดินิยม “นักค้าสงคราม” อย่างสหรัฐอเมริกานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนพวกนี้ไม่เคยคิดถึงความทุกข์ยากหรือคุณค่าชีวิตของเพื่อนมนุษย์อื่นใดในโลกนี้อย่างแท้จริงเลย นอกจากจะคิดถึงเพียงเรื่อง “ผลประโยชน์” ที่เรียกตามภาษาของ “ระบบทุนนิยมผูกขาด” ว่า “กำไร” ของกลุ่มพวกเขาเองเท่านั้น!!!!!