แสงไทย เค้าภูไทย

ขณะที่ โลกกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ Economic Crisis Perfect Storm อภิมหาวาตภัยวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ตั้งเค้าพร้อมโหมใส่ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและชาติอ่อนแอ นายกฯไทยกลับฝันหวานกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เรียกเสียหรูว่า “สามแกน”

มหาวาตภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก คือการระบาดของโควิด-19 สงครามยูเครน จีนคุมเข้มการระบาดของโควิด ด้วยมาตรการ Zero Covid ระดับปิดประเทศ และอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี

ทั่วโลกพากันประหวั่นพรั่นพรึง เตรียมแผนรับมือทั้งในภาวะฉุกเฉิน ทั้งระยะสั้น-ปานกลาง-ยาวและหลังวิกฤต

แต่นายกรัฐมนตรีของไทยกลับออกมาแถลงเป้าหมายแผนงานพื้นฐานที่เรียกเองว่า “ 3 แกน” ด้วยน้ำเสียงเหมือนท่องบทละคร ที่มีผู้เขียนและบอกบทเอาไว้ให้

แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ตอน 3 แกนคือ

แกนที่ 1 พูดเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่นถนน สนามบิน ท่าเรือ รถไฟความเร็วสูง

แกนที่ 2 เรื่องอุตสาหกรรม ที่จะพยายามแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อดึงกลับโรงงานต่างชาติที่ย้ายจากไทยในสมัยที่ท่านเป็นนายกฯต่อเนื่องถึง 8 ปี ให้กลับมาลงทุนในไทยอีกครั้ง

ล่าสุดบริษัทพานาโซนิคที่อยู่เมืองไทยมากว่า 30 ปีย้ายไปเวียดนาม เป็นบริษัทต่างชาติ บริษัทที่ 23 ที่ย้ายฐานการผลิตไปจากไทย คนไทยตกงานกว่าพันคน

แกนที่ 3 ให้ธนาคาร ขยายบริการเงินกู้ยืมเพิ่มขึ้น เพื่อที่วิสาหกิจทุกระดับ ไปจนถึงธุรกิจ กิจการ การทำมาหากินของรากหญ้า สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น

ทั้งสามแกนที่นำเสนอมานั้น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจพื้นฐาน ที่มีอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ที่ทุกรัฐบาลต้องดำเนินการตามแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน ฉบับที่ 12 แล้ว ระยะเวลาของแต่ละแผน 5 ปี

แผนฯฉบับที่ 13 จะเริ่มใช้ในปีหน้าไปจนถึงปี 2570

ตามแผนพัฒนาฯฉบับที่ 13 นั้น ได้ตั้งหมุดหมาย(ไม่ใช่แกน) ของการพัฒนาเอาไว้สรุปคร่าวๆเช่น

หมุดหมายที่ 1 ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 

หมุดหมายที่ 2 ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน 

หมุดหมายที่ 3 ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก 

หมุดหมายที่ 4 ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง 

หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค 

หมุดหมายที่ 6 ไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของอาเซียน

เอาเฉพาะด้านเศรษฐกิจ แค่นี้ก็ครอบคลุม 3 แกนของบิ๊กตู่หมดแล้ว

ส่วนเนื้อหาของร่างในด้านสังคม สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี ฯลฯ ออกจะยาว แต่ก็เป็นความต่อเนื่องจากฉบับที่ 12 ที่เหลือเวลาอยู่อีก 5 เดือนก็จะหมดปีแล้ว

เป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาลที่จะต้องบริหารเศรษฐกิจสังคมให้เป็นไปภายในกรอบของแผน

แต่ขณะนี้เรากำลังเผชิญมหาวาตภัยวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า  Economic Crisis Perfect Storm ซึ่งในแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไม่ได้ร่างวิธีการและกิจกรรมในทางแก้ไขเอาไว้

องค์ประกอบหรือตัวการก่อเกิดวิกฤตได้แก่ :

1.ไวรัสโควิด-19

2. สงครามยูเครน

3.เงินเฟ้อสูงสุดในรอบ  40 ปีระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐ

4. เงินล้นโลกจนเกิดการเก็งกำไรสินทรัพย์และโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันดิบ ปุ๋ยเคมี อาหาร ฯลฯ

5.จีนยังมีการระบาดของโควิดอยู่ และใช้มาตรการ Zero Covid คุมเข้มจนทำให้ภาคการผลิตชะลอและชะงักงันในบางสาขา

แล้วเราจะฝ่าวิกฤตการณ์นี้ได้อย่างไร ?

คงมิใช่ด้วยแผนงาน 3 แกน ของนายกฯ

มีเวลาเตรียมรับมือกับวิกฤตการณ์อภิมหาวาตภัยไม่มากนัก

เพราะมันมาจ่อหน้าประตูบ้านเราแล้ว