สถาพร ศรีสัจจัง   “ตุรกี โมเดล” ตอนนี้ จะมีชื่อคน 3 – 4 ชื่อที่น่าสนใจ ที่ว่าน่าสนใจก็เพราะ เป็นชื่อที่ไม่น่าจะ “เชื่อมโยง” กันได้ แต่ก็เชื่อมโยงกันไปแล้วในสังคมไทย โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ข้องเกี่ยวกับวงการทางการเมือง ใครที่อยู่ในวงการปฏิรูปการศึกษายุคนี้ย่อมรู้ดีว่า คำว่า “การเชื่อมโยง” นั้นถือเป็น “คำกุญแจ” หรือ “คำหลัก” (keyword) คำหนึ่งในระบบการเรียนรู้ของเด็กๆยุคใหม่ ที่ “นักการเรียนรู้” สาย “ถอดบทเรียน” สกุลท่านนายแพทย์วิจารณ์ พานิช แห่งสำนัก “GO TO KNOWS” ให้ความสำคัญเป็นนักหนา             ถ้าไม่เชื่อก็ลองย่องไปดูแถว “โรงเรียนทางเลือก” (ของชนชั้นกลางใหม่ที่มีสตางค์เพราะค่าเทอมแพงมาก)อย่างเช่นโรงเรียนเพลินพัฒนา(ที่ฟังว่าผู้ก่อตั้งคนสำคัญคือคุณสุภาวดี หาญเมธี อดีตนักกิจกรรมคนสวยของ “ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย” ยุคคุณเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ และเธอเคยเป็นเป็นหนึ่งในอดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ปัจจุบันรู้จักกันในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน “แม่และเด็ก” จากกลุ่ม “รักลูก” ฯลฯ) หรือโรงเรียนทางเลือกชื่อดัง “รุ่งอรุณ” ในเครือข่าย “อาศรมศิลป์” ที่มีอธิการบดีเป็นนักปฏิรูปการศึกษาตัวแม่ คือ ศ.ประภาภัทร นิยม และมีรองอธิการบดีเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์นามสกุลเดียวกันที่ชื่อ ธีรพล นิยม สถาปนิกฝีมือดี หนึ่งในผู้สถาปนากลุ่ม “แปลน” อันโด่งดัง           ว่ากันว่าสองโรงเรียนนี้มีหัวใจในการเรียนการสอนที่สำคัญประเด็นหนึ่ง คือมุ่งให้เด็ก “เชื่อมโยง”เป็น!           กลับมาที่ “ชื่อ” อันไม่น่าเชื่อมโยงได้ แต่สามารถเชื่อมโยงกันเพราะ “ตุรกี โมเดล” อีกครั้ง ชื่อเหล่านั้นอย่างน้อยต้องมีชื่อเหล่านี้  คนแรกคือ “พระเอก” ที่ได้รับประโยชน์จาก “ตุรกี โมเดล” ครั้งนี้แบบเต็มๆ คือประธานาธิบดี “ที่มาจากการเลือกตั้ง” (เน้นให้นักประชาธิปไตยสกุลนี้ได้รู้สึกชื่นมื่นกันหน่อย)ของตุรกีที่ชื่อเรียกยาก(เพราะออกเสียงแตกต่างกันหลายสำนัก) คือนายคนที่ฝรั่งเรียกว่า “Recep tayyip Erdogan” หรือบรรดามุสลิมที่ชื่นชมเขาในเมืองไทยเรียก “รอยั๊บ ฏอยยิบ อัรดูฆอน” หรือที่หนังสือพิมพ์ในเมืองเรามักเขียนว่า “เรเจป ทายยิบ เออร์โดกัน” และหลายเล่มเรียกชื่อหลังเป็น “แฮดวน”นั่นเอง           นายเออร์โดกัน หรือ อัรดูฆอนคนนี้ มีที่มาที่ไปไม่เบา ข้อมูลแต่ละสำนักก็สับสนแตกต่าง ทั้งดีทั้งร้าย ฝ่ายอิสลามบางสายมักมีข้อมูลว่า เขาคือ “ผู้มาพลิก” ให้ตุรกีกลับสู่ความเป็นอาณาจักออตโตมันแห่งอิสลามที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่ถูกมุสตาฟา เคมาล ปาชา “อตาเติร์ก” “คนนอกรีตสมุนยิว” ทำให้ประเทศตกต่ำมาตั้งแต่ช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 1โน่น โดยทำให้ประเทศตุรกีที่เป็นรัฐอิสลามยิ่งใหญ่กลายเป็นรัฐแบบ “เซคคิวล่าริสมฺ” ที่นิยมแบบแผนตะวันตกไป เช่น ผู้หญิงก็ห้ามใส่ฮีญาบ เป็นต้น           ชื่อที่ 2 ก็คือ “คู่ปรับ” คนสำคัญของประธานาธิบดี แฮดวน หรือ เออร์โดกันนั่นแหละ คนนี้เคยอยู่พรรคเดียวกับท่านผู้นำ แต่ภายหลังแตกคอกัน เป็นอิหม่ามที่มีชื่อเสียง เกียรติภูมิ และอิทธิพลสูงที่สุดคนหนึ่งของตุรกียุคนี้ ชื่อ อิหม่ามฟาตุลเลาะห์ กูเลน คนนี้ลี้ภัยไปอยู่สหรัฐอเมริกามา 17 ปีแล้ว ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารที่ล้มเหลวในตุรกีครั้งนี้ จนทำให้อเมริกาซึ่งให้ที่ลี้ภัยต้องถูกหางเลขจากเพื่อนร่วม “นาโต้”ไปป๊าบใหญ่ๆด้วย           ชื่อที่ 3 คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร มหาเศรษฐีอดีตนายกรัฐมนตรีคนดังจากประเทศไทยที่ฟังว่าตอนนี้หลบลี้ไปตั้งหลักปักฐานอยู่เมืองคนรวย” แถบตะวันออกกลางและตระเวนทำกิจกรรมไปทั่วโลก(ยุทธศาสตร์โลกล้อมไทย?) รายนี้ถูกบุคคลและเรื่องราวข่าวสารพาดพิงถึงในฐานะที่ถูกกองทัพ “รัฐประหาร”ไล่ลงจากบัลลังก์แต่ตั้งหลักสู้ไม่ทัน เลยต้องเสียอำนาจ “รัฐฏาธิปัตย์”ไป และยังเอาคืนไม่ได้จนบัดนี้(เพราะมวลชนไม่ลุกขึ้นต้านรัฐประหารให้เหมือนในตุรกี)           ชื่อที่ 4 คือ ท่านนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.ที่ทำรัฐประหารขับไล่ รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคนสุดสวยของดร.ทักษิณฯ คนนี้ถูกหลายใคร โดยเฉพาะบุคลากรทั้งแจ้งและลับ ทั้งที่ปรากฏสังกัดพรรคและไม่สังกัดพรรค แต่หลายใครหลายเอตะทัคะสรุปว่า ล้วนเกี่ยวข้องกันในแง่”ก็คือพวกกลุ่มผลประโยชน์เก่า ที่อิง “ทักษิณ” นำมา “เชื่อมโยง” กับการรัฐประหารที่ล้มเหลวในตุรกี ทำนองต้องการจุดไฟจุดพลังให้ “มวลชน” ชาวไทยลุกต้านการรัฐประหารเพื่อ “ปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” เหมือนในตุรกีแต่ที่เมืองไทยดูเหมือนจะยังจุดไม่ติด!             หลายครั้ง “การเชื่อมโยง” จึงควรต้องพิจารณาเหตุปัจจัยของความขัดแย้งและความสัมพันธ์ในเรื่องนั้นๆด้วย เหมือนกับที่พระพุทธศาสนาเคยสอนไว้ในหลักโยนิโสมนสิการและหลักอิทัปปจยตา หรือจะยึดหลัก “วัตถุนิยมวิภาษวิธี” ที่บรรดา “แดงระดับนำ” เคยศึกษาเข้มข้นมาจาก “เขตป่าเขา”โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “อัตวิสัย” กับ “ภววิสัย” มาใช้แทนก็น่าจะได้             แล้วอาจจะทำให้ประจักษ์สัจจะว่า “สิ่ง” นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเจตนารมย์ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่จะเปลี่ยนไปตามเงื่อนเหตุแห่งความขัดแย้ง “ภายใน” ที่แท้จริงเท่านั้น!               เรื่องนี้ไทยกับตุรกีจึงอาจจะ”เชื่อมโยง”กันไม่ได้ เหมือนที่หลายเรื่องไทยเราไม่สามารถเชื่อมโยงกับ”มหามิตรเก่า-แก่”อย่างสหรัฐอเมริกานั่นแหละ!!