แสงไทย เค้าภูไทย

ยังเป็นที่ถกเถียงกันกรณีรัฐบาลจะให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้ ด้วยเหตุกังวลว่า ต่างชาติที่ว่านี้ จะเป็นจีนที่กำลังรุกลงมาย่านอาเซียนครอบครองกิจการเจ้าบ้านไปทั่ว ทั้งธุรกิจ การค้าสุจริต ทั้งธุรกิจสีเทา จะเป็นจีนเสียมากกว่าชาติอื่นๆ

ตอนนี้ คนจีนเข้าไปครอบครองกิจการในประเทศย่านอาเซียนเสียทั่ว

ในกัมพูชา ถึงกับมี Mini China ที่เป็นศูนย์ธุรกิจ เป็นศูนย์กาสิโนของชาวจีนในเมืองสีหนุวิลล์

ส่วนในไทย มีไชน่าทาวน์เปิดใหม่ย่านถนนเสือป่า ห้วยขวาง เอกมัย ประตูน้ำฯลฯ แล้ว

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจสีเทา คือบ่อนการพนันที่ซุ่มซ่อนหลายแห่ง เนื่องจากบ่อนหรือกาสิโนยังผิดกฎหมายไทยอยู่

จีนอพยพรุ่นใหม่ที่มาไทย ส่วนใหญ่เป็นพวกแสวงโอกาส ทั้งแบบเปิดเผย และมิจฉาชีพ

มิใช่จีนอพยพรุ่นเก่าที่หนีความแร้นแค้นในเมืองจีน มากับเรือสำเภา เพื่อมาหาความอุดมสมบูรณ์ในไทย

จีนอพยพรุ่นเล่าก๋ง รุ่นอากง เข้ามาทำงานเป็นกรรมกรตามเหมืองดีบุกเสียเป็นส่วนใหญ่ จนเกิดศัพท์ “กุลี” แปลว่ากรรมกรและ“จับกัง”หมายถึงงานสารพัด ไม่ได้จำกัด “จับ”ที่แปลว่า “สิบ”

เล่ากันว่า ช่วงที่เรือแล่นเข้าปากแม่น้ำ ผู้โดยสารจีนที่นั่งๆนอนๆแออัดกันบนเสื่อผืน หมอนใบ กันอยู่ ต่างพากันลุกขึ้นยืนดูสองฝั่งอันเขียวขจีแล้วตะโกนกันเซ็งแซ่ว่า เรารอดตายแล้ว

เพราะที่อพยพมานั้น ก็ด้วยความอดอยาก ยากแค้น โดยเฉพาะฤดูหนาวนั้น ถึงกับแย่งกันเก็บใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาทำอาหารแทนผักที่ไม่สามารถปลูกได้ด้วยสภาพอากาศหนาว

เมื่อมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยอันอุดมสมบูรณ์ความยากแค้นที่เพาะบ่มให้เป็นคนเข้มแข็ง หนักเอาเบาสู้ จากการรับจ้างแบกหาม ขุดแร่ ใช้แรงงานทั้งหลาย ก็เขยิบมาทำไร่ ทำสวน ค้าขาย

คนไทยเคยอยู่กันแบบสบายกับความอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ก็กลายเป็นผู้ซื้อ

คนจีนที่มุ่งทางค้าขายก็พากันรวยขึ้นๆ จนเกิดมีคำว่าเถ้าแก่ ไปจนถึงเจ้าสัว

จีนอพยพรุ่นใหม่วันนี้ ไม่ได้โล้สำเภามากัน หากมากับรถไฟความเร็วสูง มากับเครื่องบิน พร้อมเงินสดเต็มกระเป๋า

ช่วงที่จีนเริ่มโครงการหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) นั้น รัฐบาลจีนสนับสนุนคนจีนไปลงทุนในต่างแดนเพื่อส่งผลผลิตหรือสินค้าส่งกลับไปเลี้ยงคนจีน

สมัยที่ เติ้ง เสี่ยวผิง ยังอยู่ ได้สนับสนุนนโยบายคนจีนไปลงทุนหรือทำมาหากินในต่างแดนที่เรียกว่า Go Out Policy

สมัยนี้ก็ทำนองเดียวกัน มีการให้ทุนหรือพ็อกเกตมันนี่รายละ 5 ล้านหยวน(ประมาณ 25 ล้านบาทในช่วงต้นๆ)     ประเดิมด้วยการปลูกกล้วยหอมในพื้นที่กว่าพันไร่ที่ ต.เม็งราย เชียงราย ต่อไปก็จะเป็นทุเรียน มังคุด ลำไย

อย่างไรก็ดี วิสัยของพ่อค้า คนจีนเห็นว่า การปลูกเองออกจะเสียเวลาและใช้พื้นที่มาก สู้ซื้อมา ขายไปดีกว่า

จึงเกิดล้งที่พ่อค้าแม่ค้าจีนเป็นนายทุน รับซื้อและรวบรวมผลผลิตเกษตรเพื่อนำไปกระจายสินค้าต่อ

จีนสร้างคลังสินค้าขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือที่บ่อเต็นต้นทางรถไฟความเร็วสูงในลาวติดเขตแดนคุนหมิงที่เชื่อมต่อกับรถไฟจีนลงมาจรดแม่น้ำโขงฝั่งลาวตรงข้ามไทยและคลังสินค้าอีกแห่งที่ห้วยทราย

เป้าหมายคือทั้งรับสินค้าจากไทยไปจีนและส่งสินค้าจีนเข้าไทย

และหากเส้นทางหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางบรรลุเป้าหมายคือลงไปถึงสิงคโปร์และเส้นทางน้ำไปถึงอินโดนีเซีย

คลังสินค้าเหล่านี้  จะเป็นแหล่งระบายสินค้าจากจีนไปสู่ปลายทางบน One Belt One Road ที่ดีที่สุด

นอกจากจะทำมาหากินกับสินค้าเกษตรแล้ว จีนอพยพรุ่นใหม่ยังเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินในเมืองใหญ่ ที่สำคัญคือกรุงเทพฯ

ตอนนี้มาไทยแล้ว ด้วยธุรกิจสีเทาคือบ่อนการพนัน 6 แห่ง ย่านรัชดา อาร์ซีเอ เอกมัย

นอกจากนี้ยังสร้างชุมชนธุรกิจ “ไชน่าทาวน์”แห่งใหม่ในหลายพื้นที่  เช่นย่านเสือป่าพลาซ่า ประชาราษฎร์บำเพ็ญ ย่านห้วยขวาง ย่านสุขุมวิท

ยิ่งกว่านั้นยังซื้อมหาวิทยาลัยเอกชนไทยที่ทนขาดทุนไม่ไหวไว้ถึง 22 แห่ง

คงไม่ได้ซื้อไว้เพื่อดำเนินการรองรับนักศึกษาไทยเหมือนเจ้าของเดิม

ที่ยังเป็นปริศนาก็คือ มีการส่งนักศึกษาจีนมาเรียนกันในสถาบันเหล่านั้น

จะมายึดครองประเทศไทยทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมเลยหรือ ?

อย่าลืมว่าจีนมีประชากรมากที่สุดในโลก อยู่กันอย่างแออัด ยังคงแย่งชิงทรัพยากรกันเหมือนจีนรุ่นเก่าๆอยู่

ขณะที่เมืองไทยยังเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม

คนจีนมีนิสัยเฉพาะตัวคือเป็นสัตว์เศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารใดที่เป็นที่ชื่นชอบ และต้องนำเข้า เกษตรกรจีนจะพยายามลักลอบนำพันธุ์ไปจากไทยเพื่อปลูกทดแทนการนำเข้า

เมืองไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางที่จีนอพยพ รุ่นใหม่ตั้งเป้ามา

งานวิจัยเรื่อง ‘การตั้งถิ่นฐานของชาวจีนรุ่นใหม่ : กรณีศึกษาชุมชนจีนแห่งใหม่’ (2558) ซึ่งมี ดร.ชาดา เตรียมวิทยา เป็นหัวหน้าทีมวิจัย ระบุว่าในช่วงนั้น มีจีนใหม่ในกรุงเทพฯ ประมาณ 70,000 คน

แต่ตอนนี้(ในปี 2561 )ทั่วประเทศน่าจะมีคนจีนเข้ามาอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน

กว่าครึ่งล้านคนที่มาอยู่เมืองไทย ถ้าทำมาหาได้แล้วลงทุน ใช้จ่ายในไทยแบบคนไทย เงินหมุนเวียนอยู่ในไทย ก็ถือเป็นเรื่องดี

แต่ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ มีการส่งเงินกลับบ้าน แบบเดียวกับจีนยุคบุกเบิกส่งเงินผ่านระบบโพยก๊วน

โพยก๊วนจีนในไทยวันนี้ ต่างจากโพยก๊วนรุ่นเล่าก๋ง รุ่นอากง คือไม่ต้องใช้โพย ไม่ต้องใช้ตั๋ว

เพราะมันเป็นโพยก๊วนดิจิทัล

คนจีนในไทยกว่าครึ่งล้านคน ส่งเงินกลับบ้านปีละเท่าไร ?