สถาพร ศรีสัจจัง

ดังได้กล่าวมาสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” (แผนพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยModernization ตามหลักสูตร “เดินตามก้นอเมริกัน”) ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรก (แผนระยะที่ 1) ใน ปี พ.ศ.2504 แล้วก็ตามมาด้วยแผน 2-3-4

จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ต้นแบบเผด็จการทหาร ประเภท “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ได้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศอยู่ในช่วงเวลาไม่ยาวนานนัก ตือ เพียงประมาณ 6 ปี (จากพ.ศ.2500 ที่เริ่มทำรัฐประหาร จนถึง พ.ศ.2506 ที่เสียชีวิต) 

แต่นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่น่าจะสำคัญมาก เพราะในช่วงนี้เอง ที่ “ท่านผู้นำ” ซึ่งมีอำนาจในการปกครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียว ได้เปืดประตูประเทศอย่าง “อล่างฉ่าง” ให้ “มหามิตร” คือสหรัฐอเมริกา เข้ามาจัดตั้งฐานทัพและใช้ประเทศไทยเป็น “ฐาน” ในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อขยายความคิด “ต่อต้านคอมมิวนิสต์” ในช่วงยามที่เรียกกันต่อว่า “สงครามเย็น”

สงครามเย็น ที่มีสหรัฐอเมริกาประกาศตัวเป็น “พี่เอื้อย” ใหญ่ของค่ายที่เรียกตัวเองว่า “โลกเสรี ประชาธิปไตย” เพื่อสู้รบกับอีกค่าย ที่สหรัฐอเมริกาประกาศแต่งตั้งว่า เป็น “เผด็จการ-สังคมนิยม-คอมมิวนิสต์” ที่มีสหภาพโซเวียตยามนั้นเป็นผู้นำ

สู้กันตั้งแต่ในเวทีตัวแทนระดับโลก คือในองค์การสหประชาติ จนถึง ระดับพื้นที่ในทุกทวีป ตั้งแต่ ในทวีปอเมริกาเอง(ละตินอเมริกา) ยุโรป แอฟริกา และ เอเชีย 

เฉพาะในเขตเอเชียอาคเนย์  อเมริกาถือว่าประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นฐานต้าน เพื่อตั้งรับสิ่งที่สหรัฐฯเรียกว่า “ทฤษฎีโดมิโน” หรือ “การล้มไปรับเอาลัทธิการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ตามๆกัน” ของประเทศต่างๆที่มี่พื้นที่และพรมแดนติดต่อกัน

ต้องเข้าใจฉากประวัติศาสตร์โลก ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สักนิดหนึ่งด้วยว่า บรรดาประเทศด้อยพัฒนาที่เคยเป็น “เมืองขึ้น” หรือเป็น “อาณานิคม” ของประเทศเจ้าอาณานิคม(คืออดีตประเทศ “จักรพรรดินิยม” ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือ เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น)มาก่อนหน้านั้น ล้วนมี “ขบวน” เรียกร้อง “เอกราช” เกิดขึ้นทั้งสิ้น

เฉพาะในเอเชียและเอเชียอาคเนย์นั้นนับว่ามีความเข้มข้นเป็นพิเศษ นับแต่อินเดีย จนถึง ประเทศใหญ่ๆในเอเชียแปชิฟิก เช่น อินโดนีเซีย หรือ ฟิลิปปินส์ เฉพาะที่ใกล้ๆประเทศไทย เช่น พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา และ มลายา(มาเลเซีย ปัจจุบัน)

แรงกดดันจากสงครามเย็นนั่นเอง ที่ส่งผลให้แต่ละประเทศในเอเชียอาคเนย์ หลังจากได้รับเอกราชแล้ว ต้องเผชิญกับปัญหาความแตกแยกทางความคิดทางการเมืองในประเทศอย่างรุนแรงตามมา

นั่นคือการที่ต้องมีการเผชิญหน้ากันของกลุ่มครองอำนาจรัฐที่มักจะอยู่ใต้อิทธิพลการครอบงำของ “ผู้นำโลกเสรี” คือสหรัฐอเมริกา กับกลุ่มที่ต่อต้านรูปแบบการปกครองภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (แบบเมืองพึ่ง/หรือเมืองขึ้นทางระบบคิด) ที่มักก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมมากมายหลายประการ ตั้งแต่เรื่องความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุกขนกระจาย การคอร์รัปชัน การล่มสลายของชุมชน การพร่าผลาญทรัพยากรธรรมชาติ ระบบอุปถัมภ์ ฯลฯ

ความขัดแย้งดังกล่าวนี้ ทำให้หลายประเทศของเอเชียอาคเนย์ (เกือบทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใครมาก่อน) ต้องเดินเข้าสู่ระบบ “วงจรอุบาทว์” กล่าวคือ ไม่สามารถพัฒนาระบบการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง(ไม่ว่าจะเป็นระบบเสรีนิยมหรือสังคมนิยม)

เพราะกลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นชนชั้นปกครอง (คุมเศรษฐกิจ อำนาจนิยมที่มีกองกำลังจัดตั้งติดอาวุธคือทหารและตำรวจ)ที่รับใช้,ร่วมมือ และอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของประเทศจักรพรรดินิยมยุคใหม่คือสหรัฐอเมริกา) มักจะใช้ยุทธวิธี “หลอกลวงและปราบปราม” เพื่อคงอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องตนให้ได้ยาวนานที่สุด

ทั้งนี้ทั้งนั้น กลุ่มชนชั้นปกครองดังกล่าว มักจะต้องทำตัวเป็นเสมือน “หุ่น” อยู่ภายใต้ร่มเงาอำนาจ และอาณัติของมหาอำนาจที่เข้ามามีอิทธิพลเหนือทั้งทางตรงและทางอ้อม! ไม่เช่นนั้นก็มักจะถูกมหาอำนาจดังกล่าว “ถีบหัวทิ้ง” และสร้างกลุ่มอำนาจ “หุ่น” ชุดใหม่ขึ้นมาทดแทน!

ทฤษฎี “โดมิโน” ที่สหรัฐอเมริกากลัวได้เกิดขึ้นในเอเชียอาคเนย์จริงๆ คือ มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจาก “รัฐบาลแบบประชาธิปไตย” (ไม่ว่าจะมาจากการรัฐประหารหรือจากการเลือกตั้งแบบไหน) กลายไปเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบบ “สังคมนิยม” (ที่อเมริกาเรียกว่า “คอมมิวนิสต์”/แต่พวกเขาเรียกว่า “ประชาธิปไตยรวมศูนย์”) ในหลายประเทศ ตั้งแต่ “เวียดนามใต้”  “ลาว” จนถึง “กัมพูชา”

เฉพาะเหตุการณ์ใน “เวียดนามใต้” (ชื่อเรียกในห้วงเวลาดังกล่าว) นั้นต้องถือว่าเป็นความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปที่น่าอัปยศที่สุดของ “พี่เบิ้ม” แห่งโลกเสรี คือสหรัฐอเมริกา 

ตอนที่กรุงไซ่ง่อนของเวียดนามใต้แตกนั้น ทหารอเมริกัน ถอยร่นหนีตายแย่งขึ้นเครื่องบิน แบบที่อาจจะเรียกได้ว่า “หางจุกตูด” เลยทีเดียว!

หนักหนากว่าตอนที่ต้องถอนสมอออกจากอัฟกานิสถานแบบเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย!

เมื่อแพ้ในเวียดนาม ในลาว ในกัมพูชา เรียบร้อยแล้ว

ทีนี้ก็มาจ่อคอหอยอยู่ที่ไทยแลนด์ ซึ่งยอมให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาใช้เป็นที่ตั้งฐานทัพ เพื่อเป็น “ที่พักรอเข้าสงครามและหลังสงคราม” ของทหารจีไออเมริกัน และเพื่อเป็นฐานบินส่งเครื่องบินรบบันทุกระเบิดนับหลายหมื่นตันไปถล่มประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนาม ลาว และกัมพูชา!

กระทั่งเกิดเหตุการณ์ การเดินขบวนประท้วงใหญ่ของ นักเรียน นิสิตนักศึกษา ประชาชน ครั้งสำคัญที่สุดของประเทศไทย  ที่รู้จักกันต่อมาในชื่อ เหตุการณ์ “14 ตุลาฯ มหาปีติ” ขึ้นในห้วงปี 2516 อันเป็นเหตุให้ “กลุ่มอำนาจ” ที่เป็นชนชั้นปกครองแห่ง “วงจรอุบาทว์” ในห้วงยามนั้น ต้องหนีร่นกระจัดกระจายไปเลียแผลตั้งหลักกันชั่วคราว

ก่อนที่จะรวมตัวจัดตั้งกันขึ้นใหม่ และก่อการ “รัฐประหารนองเลือด” แบบมหาโหด ชนิดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ใน “เมืองพุทธ” อย่างประเทศไทย ในช่วงปี 2519  ซึ่งคนไทยคนไหนที่หูไม่หนวก ตาไม่ บอด หรือใจบอด ย่อมจะต้องเคยได้ยินและรู้จัก ก็คือเหตุการณ์ ที่เรียกว่า “ 6 ตุลาฯ” นั่นไง!!!!ฯ