ยูร ไทรโยค

1.ความสุขที่เลือกแล้ว   

ท้องฟ้าแจ่มอร่าม แดดยามเช้าทอแสงอ่อนอุ่น ในขณะที่ผมแบกเป้ ส่วนมือหนึ่งหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรัง เหยียบบันไดเสาไม้กลม ก้าวขึ้นไปบนกระต๊อบหลังคาใบจากอย่างทุลักทุเล  แม้ขั้นบันไดแค่สามขั้น แต่นอกจากสัมภาระจะหนักแล้ว บันไดที่ทำด้วยเสาไม้กลมใหญ่เรียงห่างกัน ทำให้พยุงตัวค่อนข้างลำบาก ต้องใช้มือเหนี่ยวเสาไม้สำหรับจับที่ตั้งโด่ติดกับบันไดในขณะที่ก้าวขึ้นไป

ผมเดินทางมาถึงไทรโยคด้วยรถไฟสายกรุงเทพฯ-น้ำตกตั้งแต่เมื่อวานนี้ตอนพลบค่ำ คำว่า “น้ำตก” หมายถึง น้ำตกไทรโยคน้อย นิยมพูดกันสั้น ๆ ในตารางรถไฟของสถานีรถไฟก็เขียนสั้น ๆ เช่นเดียวกัน

ชาวบ้านที่รู้จักกันกับครอบครัวของเพื่อนนักเขียนขับมอเตอร์ไซค์ไปรับที่ท่ารถไฟ แล้วพาไปส่งที่ไร่ของเพื่อนนักเขียนคนที่เอ่ยถึง อาศัยพักชั่วคราวระหว่างสร้างบ้านหลังน้อย เพื่อนคนนี้ไปอยู่ที่ปารีส ทำให้ไร่ถูกทิ้งไว้รกร้างเป็นเวลาหลายปี

ไร่มืดสนิท มีไฟนีออนข้างนอกเพียงหลอดเดียว รายรอบเป็นต้นไผ่และป่ารกดกดื่นตะคุ่มครึ้ม เถาวัลย์ของต้นไม้ขนาดใหญ่เกี่ยวกระหวัดกันไปมา บ้างห้อยระโยงระยาง สะท้อนแสงจันทร์หรุบหรู่ มองดูงดงามราวกับภาพศิลปะ

ห้องน้ำสร้างแยกไว้นอกตัวบ้าน เดินไปใกล้ ๆ แต่หลอดไฟขาด ต้องจุดเทียนไขสว่างเพียงรัวราง เปิดน้ำฝักบัวที่ไม่มีฝักบัว มีแต่สาย  เพราะเก่ากร่อนหลุดไปตามกาลเวลา ดีเหมือนกัน น้ำไหลพรั่ง ๆ ออกจากสายแรงดี ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร แม้จะไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านที่ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ก็ตาม  

ยิ่งกว่านั้น ค่อนดึกต้องสะดุ้งตื่น เพราะมีเพื่อนมาเยือนบนเพดานฝ้า ตอนแรกก็กลัว ๆ ว่าเสียงอะไรดังตึก ๆ วนไปมาบนหัว เงี่ยหูนอนฟังอยู่เป็นนาน กระทั่งได้ยินเสียงครางอิ๊ดๆ ของหนู แต่เสียงดังตึก ๆ วิ่งวนไปมายังคงดังอีกเป็นเวลานาน สลับกับหยุดกึก คงเป็นแมวมาไล่จับหนู แล้วเล่นจนเพลิดเพลินสมใจ จนกว่าจะตาย

ประสาทของผมตื่นแล้ว ทำให้ไม่สามารถข่มตาหลับได้ มาหลับผล็อยด้วยความอ่อนเพลียตอนเช้ามืด แมวป่าที่วิ่งไล่จับหนูบนเพดานฝ้า รู้จากชาวบ้านแถวนั้นในภายหลังว่าเป็นแมวป่าตัวอ้วนพี อาศัยอยู่ในป่าแถวนี้สองตัว แล้วจะเล่าในโอกาสต่อไป

“ลุงยูร พ่อให้มาเรียกไปกินข้าว” เด็กชายรุ่น ๆ ชะเง้อคอส่งเสียงเบาๆ ที่ประตูหลังกระต๊อบ

“ขอบใจ เดี๋ยวลุงไป” ผมหันไปบอก

ผมเก็บของไม่กี่อึดใจ ก็ลงมาจากระต๊อบ วันนี้ผมย้ายมาพักที่กระต๊อบของชาวบ้านที่ไปรับผม เพราะสะดวกกว่าพักที่ไร่ของเพื่อน  ระหว่างที่รอสร้างบ้านหลังน้อยที่จะเริ่มลงหลักปักเสาในวันพรุ่งนี้  

ตอนไปรับผมที่ท่ารถไฟ เขาไม่กล้าชวนผมมาพักที่กระต๊อบของเขา ชื่อมันก็บอกความหมายในตัวอยู่แล้ว พอผมมาเห็นกระต๊อบในตอนเช้าตรู่ ตอนที่เขาไปรับผมมากินอาหารเช้า ผมก็เลยขอพัก แม้กระต๊อบจะเก่าโกโรโกโส แต่สะดวกหลายอย่าง อยู่ไม่ไกลร้านอาหารและตลาด น้ำไฟก็สะดวก เขายิ้มตอบรับด้วยความยินดี  แล้วพาผมไปขนสัมภาระ

เขาบอกว่าเขาสร้างกระต๊อบไว้ให้ญาติที่มาเยี่ยมพัก  กระต๊อบหลังขนาดย่อมยกสูงประมาณหน้าอก  ล้อมฝาขัดแตะ หลังคามุงด้วยใบจาก มีประตูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บานประตูทำด้วยไม้อัด เก่าคร่ำตามกาลเวลา ไม่มีกลอน ใช้เชือกเกี่ยวกับตะปู หน้าต่างมีทั้งสองด้าน ใหญ่โล่งโจ้ง  ไม่มีบานหน้าต่าง พื้นเป็นไม้อัดแผ่นบาง  มีชานยื่นออกไปเป็นท่อนไม้เรียงติด ๆ กัน

ผมเดินตรงไปนั่งลงที่โต๊ะไม้ซึ่งตั้งอยู่กลางแจ้ง ทั้งโต๊ะและเก้าอี้  เจ้าของบ้านทำเองด้วยวัสดุจากป่า  ยังเห็นเป็นรูปร่างของท่อนไม้  เพียงแต่ถากไม้บางส่วน  คงเปลือกไม้ไว้ให้ดูเป็นธรรมชาติ

“กินข้าวครับพี่”เจ้าของบ้านเชื้อเชิญ

ผมยิ้มให้พลางหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ท่อนไม้  มองดูกับข้าวในถ้วยจานบนโต๊ะ  มีปลาทอด น้ำพริกกะปิ ผักติ้ว ชะอม กระถินและผัดตำลึงล้วน ๆ เจ้าของบ้านและเพื่อนเดินมานั่งลงที่เก้าอี้

“ปลาอะไรเหรอ”ผมถามขึ้น เมื่อเห็นปลามีรูปร่างแปลกหลายตัวอยู่ในจาน

“ปลาตะกรับ”เขาตอบ

“ปลาตะกรับ”ผมทวนคำ “คล้ายปลาปักเป้าเลย”

ปลาตะกรับมีรูปร่างแบน ตัวป้อมสั้น เกล็ดเล็ก ครีบหลังยาว  มีจุดสีดำเทากระจายทั่วลำตัวเป็นลายพร้อย

“ปลาตะกรับมีทั้งในน้ำจืด น้ำเค็ม  ที่อื่นกิโลละสามสี่ร้อย ที่นี่ปลาถูก ไม่ถึงร้อย”

ผมกินไปพลาง ถ่ายรูปอาหารบนโต๊ะไปพลาง เพื่อไปโพสต์ลงเฟสบุ้ค  เป็นอาหารพื้นบ้านที่ทำง่าย ๆ ไม่ต้องปรุงแต่งอะไร  จะเน้นผัก  เป็นผักปลอดสารพิษ ไม่เหมือนอยู่กรุงเทพฯ ซื้อผักที่ตลาดนัดข้างสน.ตลิ่งชัน  ต้องแช่น้ำผสมกับเบ็คกิ้งโซดาทิ้งไว้ 15 นาที แล้วไปล้างหน้าเปล่าอีก 2-3 น้ำ เพื่อชะล้างสารพิษ แต่ไม่หมดร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว

โชคดีที่แม้จะเป็นกลางเดือนเมษายน แต่วันนี้อากาศไม่ร้อน มีลมพัดโชยอ่อน ๆ รอบ ๆ

บริเวณเต็มไปด้วยต้นไม้แผ่กิ่งก้านร่มครึ้ม ช่วยขับบรรยากาศให้ปลอดโปร่ง สูดอากาศเต็มปอด ด้วยความสดชื่น ต่างจากกรุงเทพฯ สูดแต่มลพิษ เหมือนที่พูดกันว่า หายใจไม่เต็มปอด  ได้แค่ครึ่งปอด

ด้านซ้ายอีกฟากหนึ่งเป็นที่ดินว่างเปล่า  ต้นสักทองยืนเรียงราย  ห่างออกไปด้านขวาเป็นป่าหนาทึบทั้งแถบ ตั้งอยู่ในที่ต่ำ  บริเวณนั้นมีห้วยตัดผ่าน  นอกจากต้นไม้ทั่วไปแล้ว ยัง มีต้นสักทองยืนเรียงรายแทบจะเบียดกัน 

“ผมแบกไม้สักทองที่ล้มข้ามห้วยมาทิ้งไว้ด้านโน้น”เขาชี้มือไปด้านหลังของผม  เอามาเก็บไว้ เผื่อได้ใช้ประโยชน์ แต่ห้ามเอาออกจากพื้นที่”

เสียงไก่ขันดังแว่วมาจากป่าด้านที่มีห้วย เสียงเพราะหูแตกจากที่เคยได้ยินไก่ขัน จึงถามขึ้น

“ไก่ที่ไหนมาขันแถวนี้”

“ไก่ป่าครับพี่”เขาตอบ

ผมหูผึ่งทันทีที่ได้ยินคำตอบ

“ที่นี่มีไก่ป่าด้วยเหรอ ไม่ใช่ป่าลึก  ได้ยินแต่ว่าไก่ป่าจะอยู่ในป่าลึก  เดี๋ยวนี้หายากแล้ว”

“ที่นี่มีไก่ป่าหลายตัว  ป่าสมบูรณ์ เป็นป่าสงวน  จะออกมาหากิน มาขันหาคู่”

“ไม่มีชาวบ้านไปดักไปยิงเหรอ”ผมถามด้วยความสงสัย

เขาสั่นหน้า

“ไม่มีใครกล้าหรอก  ทางการเขาห้าม เขาอนุรักษ์ไว้  นกเงือกยังมีเลย”

“โห มีนกเงือกด้วย เหลือเชื่อเลย ขอไปดูไก่ป่าซักหน่อย ไม่เคยเห็น”

เขาอธิบายให้ฟังว่าที่ชาวบ้านไม่กล้าล่าสัตว์ป่า เพราะกรมอุทยานฯ อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าหายากในเขตป่าสงวน จังหวัดกาญจนบุรีตามพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 เพื่อสัตว์ป่าจะได้ไม่สูญพันธุ์

ผมลุกขึ้น เดินตรงไปแถวป่า  เดินเลาะไปตามทางที่เป็นพื้นดินขรุขระ มีต้นไม้เล็ก ๆ ขึ้นระเกะระกะ  กระทั่งก้าวเท้าไปยืนตรงริมเนินดินที่ลาดต่ำลงไปยังพื้นดินข้างล่างอยู่ลึกลงไป ผมชะเง้อคอพลางสอดส่ายสายตามองออกไปไกล ๆ สายตาก็สะดุดกับไก่ป่า จึงเขม้นมองให้ถนัดตา

ไก่ป่าสีสันสวยงามยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางป่าร่มครึ้ม บางครั้งหันหัวไปมา  เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่เห็นไก่ป่า สวยมากจริง ๆ มองไกล ๆ เหมือนกับภาพวาดที่มีสีแต่งแต้มหลากสี ยังไงยังงั้น 

ผมไม่มีความรู้เรื่องไก่หรอกว่า ไก่ที่มีลักษณะดีเป็นยังไง  จากที่มองดู  นับว่าเป็นไก่ที่งามสง่า โดยเฉพาะตอนโก่งคอขัน ช่างมีท่าทางองอาจ เสียดายที่กล้องในโทรศัพท์มือถือถ่ายไม่ได้ ไกลเกินไป  สักครู่จึงเดินกลับไปนั่งพลางบ่นพึมพำที่ถ่ายรูปไก่ป่าไม่ได้

“ออกมาบ่อย บางครั้งออกมาใกล้บ้านก็มี มันคุ้นกับคน คนไม่ทำอะไรมัน”เจ้าของบ้านเอ่ยขึ้น

ผมเห็นด้วยกับการอนุรักษ์สัตว์ป่า นับวันร่อยหรอ เพราะความโลภของคน  สัตว์ป่าบางชนิดแทบจะสูญพันธุ์แล้ว  ไก่ป่าก็หายากแล้ว  คงมีน้อยและมีเพียงบางพื้นที่เท่านั้น

เขาออกตัวว่ากระต๊อบอาจจะไม่สะดวกสบาย  แต่ไม่ร้อน เพราะหลังคามุงด้วยใบจาก ทำให้เย็น ผมบอกเขาว่า ผมเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย ไม่อะไรมากมายกับชีวิต แล้วถามว่าไปเอาใบจากมาจากไหน เขาบอกว่าเอามาจากสมุทรปราการ แต่ก่อนมีขึ้นเยอะแยะ ไม่ต้องซื้อ เดี๋ยวนี้หายาก เป็นราคา ก้านหนึ่งบาทกว่า

 ตอนค่ำผมให้เขาขับมอเตอร์ไซค์พาไปซื้อเบียร์มาฉลองมิตรภาพกัน  เมียเขาทำกับข้าวและกับแกล้มด้วย  เรา หมายถึงผม เขาและเพื่อน นั่งดื่มเบียร์คุยกันไปด้วยอย่างออกรส  สักพัก  ฝนเริ่มลงเม็ด เราจึงย้ายไปนั่งข้างในบ้าน เป็นกระดานไม้อัดยกพื้นสูงเล็กน้อย ขณะชนแก้วเขาบอกว่า หลังฝนตกหนัก จะได้ยินเสียงอึ่งอ่างร้องกล่อมนอน อึ่งอ่างร้องแบบนี้ ชาวบ้านจะออกไปจับอึ่งอ่างกัน ทอดกรอบเป็นกับแกล้มอร่อยนัก

สมควรแก่เวลาคือ ราว 4 ทุ่ม ถือว่าดึกสำหรับชาวบ้าน เบียร์หมดพอดีด้วย ผมเดินกลับไปที่กระต๊อบ เม็ดฝนหล่นถูกตัวเย็นสบาย  แม้ค่อนข้างเมา แต่มือยังเหนี่ยวเสาก้าวขึ้นบันไดได้สบาย  ผมถือคติเสมอมาว่า ต่อให้เมาแค่ไหน ต้องมีสติ ไม่อย่างนั้นนักท่องราตรีในป่าคอนกรีตอย่างผมที่ไม่เคยกลับดึก แต่กลับเช้าคงไปอยู่เมืองสวรรค์นานแล้ว

ขณะผมเหนี่ยวเสาขึ้นบันได  ผมอดยิ้มขำไม่ได้ ตามประสาคนมีอารมณ์ขัน คิดแว่บขึ้นมาว่า เสาต้นนี้เป็นเสาวัดใจคนเมาได้เลย ใครเมาแล้ว ขาดสติ อาจจะพลัดตกบันได เจ็บตัว หายเมาเป็นปลิดทิ้ง

พอก้าวเข้าไปในกระต๊อบเท่านั้น สายฝนก็พรั่งพรูลงมา ผมนั่งเหยียดขากับพื้นกระดานไม้อัด จิบไวน์ที่เหลือติดกระเป๋าเดินทาง เสียงฝนที่กระทบลงบนหลังคาใบจากดังเสนาะหู การนั่งจิบไวน์ในกระต๊อบขณะฝนตก เป็นค่ำคืนที่สุขใจและได้บรรยากาศมาก ยิ่งกว่านั่งในห้องแอร์ของห้องอาหารในกรุงเทพฯ

พักใหญ่ พอฝนซา เสียงอึ่งอ่างร้องระงมแทรกขึ้นมาไม่ไกลนัก  มีเสียงสูงเสียงต่ำประสานกัน  เพราะหูอีกแบบ  หาฟังไม่ได้หรอกในเมืองกรุง  จิบไวน์ไป ฟังเสียงฝนกับเสียงอึ่งอ่างไป วิเศษนัก ธรรมชาติช่างเสกสรรค์และเป็นใจให้กับผมในคืนแห่งความสุขนี้  มันแตกต่างจากเสียงดนตรีในคลับบาร์คาเฟ่อย่างสิ้นเชิง  ผมนึกขึ้นได้ จึงใช้โทรศัพท์มือถืออัดเสียงอึ่งอ่างไว้  แล้วจะส่งไลน์ให้เพื่อน ๆที่กรุงเทพฯ

 คืนนั้นผมนอนฟังเสียงดนตรีจากอึ่งอ่างกล่อมนอนหลับสบาย ค่อนดึก ฝน

กระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว ละอองฝนปลิวเข้ามาทางหน้าต่าง  ความที่มีอารมณ์สุนทรีย์  ทั้งที่กึ่งหลับกึ่งตื่นและแม้จะถูกละอองฝน  ใจยังนึกถึงเพลง “ฝนตกที่หน้าต่าง”ของเสก โลโซ ที่ได้ฟังในสถานบันเทิงที่กรุงเทพฯเป็นประจำ

“วันนี้ฝนตกไหลลงหน้าต่าง คิดถึงฉันบ้างไหมหนอเธอ.....”

ตอนดึก แม้ฝนซาแล้ว แต่ลมโกรกเข้ามาทางหน้าต่างจนหนาวเยือก ต้องดึงผ้าห่มผืนบางที่ใช้ปูนอนมาห่มพลางนอนตะแคงขดตัว ซ้ำมีน้ำฝนหยดเปาะแปะลงบนหัว ต้องขยับตัวร่นลงมา แต่คืนนั้นกลับนอนหลับอย่างมีความสุขยิ่งกว่านอนในห้องแอร์ที่บ้านในกรุงเทพฯ เพราะผมตัดสินใจ เลือกมาปักหลักอยู่ชนบทที่อำเภอไทรโยคแห่งนี้แล้ว