สถาพร ศรีสัจจัง

แม้สังคมไทยจะถูกตราว่าเป็น “สังคมลืมง่าย” แต่กรณีการ “สังหารหมู่เด็กน้อย” (พ่วงผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งเข้าไปด้วย) โดยการใช้ปืนกราดยิงและใช้มีดร่วมด้วยอย่างสุดอำมหิต จนยากที่จะเชื่อว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่พระพุทธศาสนาได้สถิตสถาพรครอบคลุมจิตใจผู้คนมาเกือบพันปีแห่งนี้!

แต่เหตุการณ์อำมหิตดังกล่าวก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว ที่ อบต.อุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 นี่เอง

ก่อนหน้านี้ เรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่อย่างที่เขาว่ากระมัง คือคนไทยอาจจะ “ลืมง่าย” จริง  เพราะดูเหมือนเรื่องสำคัญๆ เช่น การล้อมฆ่านักเรียนนักศึกษาที่ชุมนุมต่อต้านการกลับเข้าประเทศของเผด็จการ ถนอม กิตติขจร อยู่อย่างสงบ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ อย่างโหดร้ายอำมหิตที่สุด เมื่อครั้งเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 จนทั้งโลกได้ประจักษ์ ก็คล้ายๆจะถูกลืมไปนานแล้ว!

เรื่องการกราดยิงหมู่คนในห้างสรรพสินค้าที่เมืองโคราช โดยทหารชั้นผู้น้อยที่คับแค้นใจและเครียดกับระบบอันไม่เป็นธรรม เมื่อไม่นานมานี้ ก็เป็นอีกเรื่องที่ใครต่อใครดูคล้ายจะลืมไปแล้วเช่นกัน!

ดังนั้น เผื่อใครจะลืมง่ายจริง(อย่างเขาว่า) จึงขอทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่แสนจะ “อัปลักษณ์ทางสังคม” ครั้งนี้ อย่างสรุปๆไว้อีกสักหน่อย เพื่อจะได้ช่วยบันทึกเป็นหลักฐานทางสังคมเอาไว้ยืนยันต่อคนรุ่นหลังอีกทางหนึ่ง

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่  6 ตุลาคม 2565 ณ พื้นที่องค์การบริการส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู โดยมีอาชญากรชื่อสิบตำรวจเอก ปัญญา คำราบ อดีตตำรวจที่เพิ่งถูกไล่ออกจากราชการด้วยข้อหาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ได้บุกเข้าไปที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของ อบต. ใช้อาวุธปืนและมีด ฆ่าเจ้าหน้าอบต.และบุตรซึ่งประจำการอยูที่นั่น แล้วบุกเข้าไปในศูนย์ฯ ใช้อาวุธปืนและมีด กราดยิงและฟัน-แทง ทั้งเด็กๆและครูพี่เลี้ยง ที่กำลังนอนพักผ่อนตอนเที่ยงกันอยู่ จนมีคนเสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 25 คน ในนั้นเป็นเด็กเล็ก 23 คน ครูพี่เลี้ยง 2 คน แล้วฆาตกรคลั่ง ก็ขับรถหลบหนีกลับบ้าน ในระหว่างทางก็ชนและยิงคนตายอีกอีกหลายคน กลับถึงบ้านพักจึงเผารถตัวเอง ยิงลูกเลี้ยงและภรรยาจนตายทั้งคู่ จากนั้นก็ยิงตัวเองตายตามไปอีกคน

สรุปรวม (ข้อมูลถึงวันที่ 8 ตุลาคม) มีคนตายจากการถูกยิงและฟันแทงด้วยมีด ขับรถชน รวมทั้งสิ้น 37 คน (เด็กน้อย 24 คน) คนบาดเจ็บ (เด็ก-ผู้ใหญ่)อีก 15 คน!

สื่อทั้งโลกได้ร่วมบันทึกไว้ว่า นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งของการฆาตกรรมหมู่ในโรงเรียนที่โหดร้ายอำมหิตที่สุด หลังจากที่เรื่องแบบนี้ได้เกิดขึ้นอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศที่ร่ำรวยและทรงอำนาจที่สุดของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา!

หรือนี่คือหน้าตาที่แท้จริงของการพัฒนาสังคมไทยตาม “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่ “ชนชั้นปกครอง”ของไทยได้เชื้อเชิญ “ผู้เชี่ยวชาญ” จากสหรัฐอเมริกา มาวางแผนไว้ให้ตั้งแต่แผนระยะที่ 1 เมื่อ 60 ปีก่อน คือ ตั้งแต่ยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์เมื่อปี 2504 โน่น!

เพียง 60  ปีเท่านั้น รากทางศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรม แบบดั้งเดิมของเราก็ล่มสลาย ด้วยการ “โปรแกรม” ของระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” /ระบบ “เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด”/ระบบ “กระตุ้นกิเลสคนให้แข่งขันและบ้าคลั่งต่อการบริโภควัตถุอย่างไม่มีจุดจบ”ฯลฯ ของระบบ “ทุนนิยม” (แบบไม่เลือกแก่นทิ้งกาก อย่างที่ “จิตร ภูมิศักดิ์” เคยวิจารณ์ไว้)

หรือจะยังไม่คิดถึง “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทาน “ทางสายกลาง” ไว้ให้กันเลย?

หรือจะยังไม่คิดถึงคำของปราชญ์พุทธคนสำคัญชาวเวียดนาม อย่างพระติช นัท ฮันท์ ที่ว่า “ทางกลับ คือการเดินทางต่อ”กันเลย?

หรือจะยังหูอื้อไม่ได้ยินคำเตือนของพุทธทาส ภิกขุ ที่ว่า “ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ กันบ้าง?

ฯลฯ

เศร้าและรู้สึกสังเวชจนไม่รู้จะเขียนอะไรได้อีกแล้ว ขอฝากเป็นคำกลอน(ที่เพิ่งแต่งแต่ไม่จบ) เรื่อง “จึงกราดยิง” เป็นบทฝากทิ้งท้ายคอลัมน์ไว้ให้พิจารณากันสักหน่อยก็แล้วกัน…(อ่านทีละวรรคตามขีดคั่น)

จึงกราดยิง ! 

๐ พ่ายแพ้ทันทีที่ “กราดยิง'!/ฉายชัดภาพจริงแห่งยุคสมัย

ภาพความรุนแรงแห่งหัวใจ/ภาพหายนภัยในตัวตน

ตัวตนอันแต้มโปรแกรมแต่ง/ขันแข่งยิ่งกว่าสัตว์หน้าขน

สู่เถื่อนดิบดำโดยจำนน/ต่อกลแต่งสร้างแห่งทางมาร!

หลุดจากป่าเขาเงาเถื่อนถ้ำ/มาสร้างอารยธรรม-มาอยู่ “บ้าน”

รวมหมู่เป็นเมืองเรืองตระการ/กลายเป็นเผ่าพาล-พล่าผลาญธรรม!

เสพติดแข่งขันกันจนเสี้ยน/ก่อพันธุ์ตัวเบียนและตัวห้ำ

ฝ่าเกณฑ์กำหนดกฎแห่งกรรม/แรงต้าน,แรงกระทำ-ก็กล้ำกราย

พัฒนาความเขลามุ่งเอาชนะ/จึงยิ่งกักขฬะยิ่งฉิบหาย

ยิ่งขยอกยิ่งขย้ำยิ่งทำลาย/ยิ่งฆ่ากันตาย'ขาย'กันกิน!

กิเลสยิ่งเหี้ยมโหดยิ่งโลดเถลิง/จึงร้อนเร่าดังเพลิงไปทั้งสิ้น

จึงเหลื่อมล้ำจึงคั่งแค้นทั่วแผ่นดิน/จึง “ทางมาร” สิงสิ้นจิตวิญญาณ

“ความไม่รู้จักพอ” ที่ก่อเหตุ/จึงต้องพบอาเพศ จึงดิ้นพล่าน

จึงพร้อมเสริมพร้อมสร้างทางสามานย์/ตามโปรแกรมบงการผ่าน “กำไร”