สถาพร ศรีสัจจัง

ขอนับเนื่องเอา “บริเตนใหญ่” หรือ อังกฤษ เป็นประเทศปฐมในการพูดถึง “บาปบรรพชน”!

ไม่แน่ใจนักว่าชาวอังกฤษวันนี้จะมีความรู้สึกเช่นไรบ้าง กับ “ประวัติศาสตร์แห่งการรุกราน” ที่นำไปสู่ “การฆ่า” การปล้นสะดม และการทำลายวิถีอัตลักษณ์ของชนเผ่าหรือชาติพันธุ์อื่นในโลกนี้เป็นจำนวนมาก ของ “บรรพชน” แห่งเผ่าพันธุ์ตน(อย่างน้อยก็คือกลุ่มชนชั้นปกครองของอังกฤษในอดีต)

ในยุคแห่ง “จักรวรรดิ” ที่ประเทศซึ่งมีนาม “บริเตนใหญ่” (Great Britain) ได้รับฉายาอย่างน่าสะพึงว่า “ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” อันเนื่องมาจากเหตุผลเพียงประการเดียว นั่นคือ เพราะมีแผ่นดินที่ประเทศนี้ได้ใช้กองกำลังที่มี “เครื่องก่อสงคราม” และเล่ห์กลต่างๆ ที่เหนือกว่า ที่แข็งแรงกว่า บุกเข้าไปยึดครองเป็น “อาณานิคม” กระจายอยู่ทุกทวีป ทุกมุมโลก!

ตามความเชื่อของโลกยุคป่าเถือน ที่เชื่อกันว่า “สัตว์ตัวที่แข็งแรงกว่า คือตัวที่จะชนะและอยู่รอด”!

แต่นั่น…มันเป็นเรื่องของ “สัตว์” เดรัจฉาน!

ไม่ใช่ “มนุษย์” สิ่งมีชีวิตชนิดเดียว ที่ “วิถีปัญญา” ตะวันออก โดยเฉพาะภูมิปัญญาเชิงพุทธ เชื่อว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์ หรือ สิ่งมีชีวิตอื่นใด เพราะมี “ปัญญา” ที่เป็นตัวก่อเกิดเครื่องมือพัฒนาการ “เรียนรู้” จนสามารถสร้างสรรค์ระบบคุณธรรม และ จริยธรรมที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่มีและสร้างไม่ได้!

ในฐานะ “จักรวรรดิ” หรือ “มหาอำนาจ” แห่งยุคสมัย (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) อังกฤษกระทำ หรือ “ก่ออาชญากรรม” หรือ “บาปใหญ่” แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอย่างไรบ้าง?

ประวัติศาสตร์ของ “บริเตนใหญ่” หรือ ที่รู้จักกันในนาม “อังกฤษ” ปัจจุบันนั้น มีความเป็นมาอย่างยาวนานยิ่ง ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับชนพื้นเมืองมาตั้งแต่เมื่อ 3 หมื่นปีก่อน จากนั้น พื้นที่หมู่เกาะอันอุดมสมบูรณ์ดังกล่าว ก็มีชาติพันธุ์ต่างๆเข้ายึดครองกันเป็นช่วงๆ และเกิดการผสมผสานกันต่อมาอย่างยาวนาน

จนกลายเป็นประเทศ “สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ และ ไอร์แลนด์เหนือ” ( United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) มาตั้งแต่แต่ปีค.ศ.1927 อย่างที่นักประวัติศาสตร์รู้ๆกันนั่นแหละ!

แต่เดิมการรวมตัวกันเข้าเป็น “ราชอาณาจักร” อันประกอบด้วย บริเตน เวลส์ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ แห่งนี้ ก็มีปัญหาจุกจิกในรายละเอียดมาตลอดยุคสมัยอันยาวนาน ทั้งเรื่องการแข็งข้อลุกขึ้นสู้กู้เอกราชของชาติพันธุ์พื้นเมือง  การรวมแผ่นดินเพราะชนะสงคราม และ เพราะการเษกสมรสแบบ “ข้ามราชวงศ์” ของชนชั้นศักดินา และ เงื่อนเหตุอะไรอื่นอีกต่างๆนานา

เรียกว่า กว่าจะรวมกันขึ้นมาจนกลายเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ได้ ก็ต้องผ่านการฆ่าฟันผู้คนแบบเลือดนองแผ่นดินกันหลายครั้งหลายหนทีเดียวเชียวแหละ!

เฉพาะส่วนที่เป็นแผ่นดิน “ไอร์แลนด์” อันกว้างใหญ่นั้น มีปัญหามาโดยตลอด จนในปีค.ศ.

1922 ก็สามารถแยกเป็นประเทศเอกราชได้สำเร็จ ดินแดนส่วนใหญ่ก็กลายเป็นประเทศไอร์แลนด์ในปัจจุบัน เหลือเพียงส่วนของไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) ที่ยังคงผนวกเป็นส่วนหนึ่งของ “บริเตนใหญ่” อยู่ แต่ก็มีปัญหาสารพัดสารพันที่ยังต้องรอให้แก้ไขกันอย่างเป็นรายวันทีเดียว!

ความยิ่งใหญ่แห่งความเป็น “จักรวรรดิ” หรือประเทศมหาอำนาจที่ทรงอิทธิพลสูงสุดของโลกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่กล่าวกันว่า ตอนนั้น สหราชอาณาจักร มีดินแดนทั้งหมดถึง 1 ใน 4 ของแผ่นดินโลก มีประชากรในปกครองถึงกว่า 1 ใน 3 ของโลก ทำให้ ในปัจจุบันอังกฤษยังคงมี “ดินแดนโพ้นทะเล” หรือ “ดินแดนในเครือจักรภพ” อยู่อีกถึง 14 ดินแดน !

อังกฤษพ่ายแพ้และล้มเหลวในการตั้งถิ่นฐานและการสร้างอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือในช่วงศตวรรษที่17 โดยกลุ่มชนอพยพ(อังกฤษและอื่นๆ)ที่เข้าไปตั้งถิ่นฐาน ณ แผ่นดินนั้น(โดยแย่งชิงจากเจ้าของเดิมคือชนเผ่าที่รู้จักกันในนาม “อินเดียนแดง” ปัจจุบัน) สามัคคีกันจนสามารถปลดแอกชนะเจ้าอาณานิคมอย่างเกรท บริเตนได้สำเร็จ และก่อตั้งประเทศนาม “สหรัฐอเมริกา” ขึ้นได้ในช่วงปี ค.ศ. 1782

ช่วงศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 นับเป็นช่วงที่ เกรท บริเตน หรืออังกฤษ รุ่งเรืองเฟื่องฟูอย่างถึงที่สุด เพราะเป็นประเทศแรกที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในช่วงยามนั้น กรุงลอนดอนที่เป็นเมืองหลวงถือว่าเป็นเมืองยิ่งใหญ่และเจริญที่สุดในโลก!

การยุทธนาวีที่ชนะเหนือฝรั่งเศสใน “สงครามนโปเลียน ช่วงปีค.ศ. 1925 ทำให้กองทัพเรือของอังกฤษมีแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเริ่มออกล่าอาณานิคน โดยเบนเข็มมุ่งมาทางแอฟริกา เอเชียแปซิฟิก และเอเชียแผ่นดินใหญ่(อินเดียและจีน)แทนทวีปอเมริกาเหนือที่ล้มเหลว

มีข้อมูลอ้างว่า ในช่วงศตวรรษที่ 18 อังกฤษได้กวาดต้อนชาวแอฟริกาพื้นเมืองในฐานะ “สินค้ามนุษย์” (ทาส)ส่งไปยังหมู่เกาะอินเดียตะวันตกไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน

ลองหลับตานึกเอาก็แล้วกันว่า การค้าทาสในห้วงเวลาดังกล่าวจะโหดร้ายขนาดไหน จะต้องมีคนต้องทุกข์ทรมาน และต้องล้มตายลงเพราะการนี้ไปสักเท่าไหร่?

แล้วเกือบทั้งแอฟริกา ทั้งหมู่ประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก (ทั้งหมู่เกาะและแผ่นดินใหญ่) ทั้งบนแผ่นพื้นทวีป เช่น อินเดีย และจีน ก็ตกอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งอำนาจเรือปืนของอังกฤษในห้วงยามนั้นแทบทั้งสิ้น!

ลองเหลียวมองประเทศเพื่อนบ้านรอบๆบ้านเราก็จะเห็นได้ดีทีเดียวเชียวแหละ!

และเข้าใจแล้วยังว่าทำไมเมื่อถึงวันนี้ คนอินดียแท้ๆที่เป็นศาสนิกฮินดู อย่างนาย “ริชี ซูนัค” (บางคนถามว่าเป็นคำเดียวกับภาษาอินเดียว่า “สุนัข” ที่แปลว่า “เล็บสวยเล็บดี” อะไรนั่นหรือเปล่า?) จึงได้กลายมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” ประเทศอังกฤษที่แสนจะยิ่งใหญ่แบบสดๆร้อนๆเห็นๆอยู่นั่นได้?   ก็พ่อแม่ของเขา ที่เป็นคนอินเดียแท้ (เมืองขึ้นอังกฤษกี่ร้อยปี?) ที่อพยพจากแคว้นปันจาบ เข้าไปทำมาหากินอยู่ในประเทศ “แทนซาเนีย” และ “เคนยา” ซึ่งเป็นอดีตเมืองขึ้นของอังกฤษเช่นกัน แล้วก็เพิ่งย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานใน “ประเทศเจ้าอาณานิคม” อย่าง “สหราชอาณาจักร” ในช่วงปีค.ศ. 1960 นี่เอง

นาย “ริชี ซูนัค” ก็เลยเกิดที่นั่น จนกลายเป็น “คนอังกฤษ” และ นายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดของประเทศอังกฤษไปโดยกฎหมายนั่นไง!!!!