สถาพร ศรีสัจจัง

หลังการปกครองด้วยระบบโชกุน ที่มีตระกูลโทกุกาวา ครองประเทศมากว่า 200 ปี ล่มสลายลง เพราะฝ่ายโชกุนพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองที่สู้รบกับฝ่ายจักรพรรดิเมจิ ในปีค.ศ.1868 โดยสาเหตุหลักคือ ฝ่ายโชกุนอ่อนแอลงมาตั้งแต่กองเรือรบสหรัฐอเมริกาที่ต้องการให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ เข้าปิดล้อม และโจมตีอ่าวโตเกียว ภายใต้การบัญชาของนายพลเรือ แมทธิว ซี. เพร์รี่ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1854     

ซึ่งในครั้งนั้น ทำให้รัฐบาลของโชกุนโทกุกาวา  ต้องลงนามในสนธิสัญญาเปิดประเทศที่เรียกกันต่อมาว่าสนธิสัญญา “คานางาวะ” นั่นแหละ!                     

ญี่ปุ่นภายใต้ระบบการปกครองขององค์จักรพรรดิ ที่มีคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าต้องการปฏิรูปประเทศหนุนช่วย ก็นำประเทศฝ่าผ่านวิกฤติต่างๆจำนวนมากไปได้ในที่สุด

โดยการเปิดประเทศ รับเอาระบบความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่ เทคโนโลยีแบบใหม่ และวัฒนธรรมแบบใหม่  จากชาติจักรวรรดินิยมตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฯลฯ เข้ามาใช้ในประเทศอย่างกว้างขวาง                                  

ญี่ปุ่นเริ่มมีการวางแผนการปฏิรูป ทั้งทางการเมือง การเศรษฐกิจ และการทหาร สู่ความเป็นสมัยแบบตะวันตกอย่างรวดเร็ว มาตั้งแต่ปีค.ศ.1871                                   

และได้อาศัยการเป็นชาติชนะสงครามในฐานะเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ญี่ปุ่นแทบจะไม่ต้องลงทุนและสูญเสียอะไรมากนัก เร่งรัดพัฒนาประเทศและสร้างฐานะภาพลักษณ์ให้ทัดเทียมชาติจักรวรรดินิยมตะวันตกผู้รุกรานอย่างรวดเร็ว                             

สิ่งหนึ่งที่ญี่ปุ่นได้รับบทเรียนและการเรียนรู้จากชาติตะวันตกเหล่านั้น ก็คือวัฒนธรรมการทำตัวให้กลายเป็นชาติ “จักรวรรดินิยม” (Imperialism) ผู้รุกรานชาติอื่น!                                     

โดยเริ่มคิดแผ่ขยายอำนาจของตัวเองด้วยการ “ล่าอาณานิคม” เริ่มต้นจากการยึดและผนวกเอาเกาะทั้งหลายที่อยู่ใกล้ๆแผ่นดินตน เข่น เกาะริวกิว/ เกาะโอกินาวา/ หมู่เกาะคิวริล/หมู่เกาะโบนิน/และเกาะฮอกไกโด เป็นต้น มาเป็นพื้นที่ของตัว           

ในห้วงยามนี้ ญี่ปุ่นเริ่มเรียกตัวเองว่า “มหาจักรวรรดิญี่ปุ่น” โดยใช้ภาษาญี่ปุ่นว่า “ได นิปปง โทโกะกุ” ( ได=มหา/นิปปง=ญี่ปุ่น/ไทโกะกุ=จักรวรรดิ)                 

จากนั้นจึงวางแผนจะขยายอำนาจเข้ายึดแผ่นพื้นทวีป ที่มีประเทศจีนเป็นเป้าหมายหลัก โดยเริ่มต้นเคลื่อนทัพเข้าสู่คาบสมุทรเกาหลี-ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของจีนยุคราชวงศ์ชิงอยู่ จึงต้องทำให้เกิดสงครามกับจีนครั้งที่หนึ่งขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1894-1895                  

จีนพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ จึงต้องยอมให้ญี่ปุ่นครอบครองเกาหลี (ยังไม่แบ่งเหนือ-ใต้) และต้องยอมยกเกาะไต้หวันให้ญี่ปุ่นปกครองด้วย!       

ในห้วงเวลาของการยึดครองดังกล่าว  ประวัติศาสตร์ของเกาหลีและจีนบันทึกว่า ญี่ปุ่นกดขึ้ข่มเหงคนเกาหลีและคนจีนต่างๆนานา ทั้งจับกุมเข่นฆ่าและเอาผู้หญิงไปเป็นนางบำเรอกามเหล่าทหารญี่ปุ่น  จึงก่อเกิดขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นด้วยความคับแค้นใจขึ้นอย่างกว้างขวาง

ปีค.ศ.1937-1945 เกิดสงครามจีน-เกาหลีครั้งที่ 2 ครั้งนี้ ประมาณกันว่า มีทหารและพลเรือนจีนถูกฆ่าตาย ถูกทรมาน และบาดเจ็บ ไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน อาจจะมากถึง 35 ล้านคนด้วยซ้ำ!  ขณะที่ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตเพียงประมาณ 1.5 ล้านคน(ช่วงนั้นจีนมีพลเมืองเพียง 200 ล้านคน) ที่สำคัญคือก่อให้เกิดความอดอยากยากแค้นขึ้นทั่วไปในแผ่นดินจีน!

เฉพาะการโจมตีพลเรือนชาวบ้านของกองทหารญี่ปุ่นที่นานกิงในปีค.ศ.1937 เพียงแห่งเดียว ที่ภายหลังรู้จักกันในนาม “ การสังหารหมู่ที่นานกิง” นั้น  มีพลเรือนถูกฆ่าตายในเหตุการณ์ครั้งนี้เพียงคราวเดียวถึงกว่า 3 แสนคน !

เป็นภาพที่ยังคงฉายชัดอยู่ในประวัติศาสตร์และตรึงอยู่ในดวงตาและความรับรู้ของชาวจีนแผ่นดินใหญ่มาจนถึงวันนี้!

ญี่ปุ่นยึดครองประเทศและข่มเหงย่ำยีชาวเกาหลีอยู่ถึง 35 ปี คือตั้งแต่ปี ค.ศ.1910 จนถึงปี ค.ศ.1945!

หลักฐานยืนยันว่าในปี พ.ศ.2461 ชาวเกาหลีถูกทหารญี่ปุ่นฆ่าตายไปมากกว่า 7,000 คน และผู้หญิงเกาหลี(ทั้งที่ยินยอมและไม่ยินยอม) ต้องกลายเป็นนางบำเรอกามของทหารญี่ปุ่นมากกว่า 2 แสนคน!

วันที่ 7 ธันวาคม 1941 ญี่ปุ่นเหิมเกริม “ลูบหนวดเสือ” เข้าโจมตีฐานทัพสหรัฐอเมริกาที่อ่าว “เพิร์ล ฮาร์เบอร์” ครั้งนั้นมีทหารอเมริกันตายทั้งสิ้น 2,403 คน พลเรือนตายร่วมด้วย 68 คน ทำให้สหรัฐอเมริกาตัดสินใจประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และนำมาซึ่งการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิชิมะ และ นางาซากิ ในท้ายที่สุด

ช่วงปีค.ศ.1940 -1945 ซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นก่อ “สงครามมหาเอเชียบูรพา” ขึ้นนั้น ญี่ปุ่นทุ่มเทกำลังทหารบุกยึดประเทศในพื้นที่ “เอเซีย-แปซิฟิก” รวมทั้งสิ้นถึง 23 ประเทศ เช่น จีนแผ่นดินใหญ่/หมู่เกาะในจิ/ฟิลิปปินส์/อินโดนีเซีย/สิงคโปร์/ไต้หวัน/ฮ่องกง/มลายาและบรูไน/ติมอร์เลสเต/ไทย/ลาว/กัมพูชา/และพม่า เป็นต้น

เฉพาะการจับเชลยทั้งทหารฝ่ายสัมพันธมิตรและพลเรือนในประเทศต่างๆมาใช้แรงานสร้างถนนเพื่อเดินทัพเข้ายึดประเทศตางๆ จนทำให้ผู้คนเหล่านั้นต้องล้มตาย สูญหาย และเจ็บป่วยทุกข์ทรมานนั้น มีมากเสียจนยากจะจาระไน

เพียงดูตัวอย่างจากข้อมูลในประเทศไทย ทั้งในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด และจากกรณีการสร้างทางสายมรณะเพื่อเข้ายึดประเทศพม่า ที่เมืองกาญจนบุรีอย่างที่รู้ๆกันนั้น

ก็ “โหด” และ “บาป” เสียจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรแล้ว เพราะชีวิตของ “เชลย” เหล่านั้นล้วนมีความเป็นมา มีครอบครัว ญาติพี่น้องอยู่รอคอยอย่างทุกข์ทรมานแทบจะขาดใจอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น!

กรณี “นายทหารญี่ปุ่นที่แสนดี” อย่างตัวละครที่ชื่อ “โกโบริ" สามีของสาวไทยจากคณะอักษรศาสตร์ที่ชื่อ “อังสุมาลิน” ในนิยายเรื่อง “คู่กรรม” ของนักเขียนลือนามผู้ล่วงลับอย่าง “ทมยันตี” หรือ คุณวิมล เจียมเจริญ ที่แสนจะโรมานซ์และ “แทรดจิดี้” นั้น คงจะต้องยกเว้นไว้เป็นกรณีพิเศษ เพราะนั่นถ้าจะถือเป็น “บาป”  ก็คงต้องเรียกว่า “บาปที่แสนบริสุทธิ์” เสียละกระมัง?!!!