สถาพร ศรีสัจจัง

ปรากฏการณ์ “แผ่นดินถล่ม” หรือ “ดินไหล” ที่ภาษาฝรั่งอังกฤษเรียกว่า “Landslide” นั้น เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยหลายครั้ง มีทั้งครั้งเล็กๆ และ ครั้งใหญ่ๆ ดูเหมือนเมื่อสักไม่กี่วันก่อน ก็เพิ่งเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ขึ้นที่เขตบาตังกาลี ใกล้ๆเกนติ้ง ไฮแลนด์ สถานที่ท่องเที่ยวลือชื่ออีกแห่งหนึ่งของมาเลเซีย มีคนที่ไปตั้งแคมป์พักผ่อนเสียชีวิตไปประมาณ 20คน

ส่วนใหญ่ ปรากฏการณ์แผ่นดินถล่มหรือ “ดินไหล” นี้มักเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ดินอุ้มน้ำเต็มที่ ดิน-หิน บนที่สูงจึงถล่ม และ ไหลลงที่ต่ำ ตามความเชี่ยวกรากของน้ำ และตามกฎแรงโน้มถ่วงของโลก ที่จริง “แผ่นดินถล่ม” อาจเกิดจากภัยธรรมชาติอื่น เช่น ภูเขาไฟระเบิด หรือ แผ่นดินไหว หรือ การเกิดคลื่นยักษ์อย่าง “สึนามิ” ก็ได้

ปรากฏการแผ่นดินถล่มครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ก็คือครั้งที่ภูเขาไฟวิสซูเวียสในอาณาจักรโรมัน(อิตาลีปัจจุบัน) ระเบิด เมื่อ 500-600 ปีก่อนคริสตกาล จนธารน้ำลาวาไหลทะลักกระชากแผ่นดินถล่มทลายกลบฝังเมือง “ปอมเปอี” ให้จมอยู่ใต้ผืนดินทั้งเมือง นักโบราณคดีเพิ่งขุดค้นพบเมื่อ ค.ศ.1748 นี่เอง ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง “ปอมเปอี” คงจะเห็นถึงความน่าสยองได้ดี!

ส่วนเหตุการณ์ “แผ่นดินถล่ม” ในเมืองไทยนั้นก็เคยมีเกิดขึ้นหลายครั้งในหลายพื้นที่ เช่น เกิดในพื้นที่อำเภอหล่มสัก และ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ เมื่อพ.ศ. 2531 และ ในปี 2544 ก็เกิดอีกครั้งที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ และ ที่บ้านน้ำก้อ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ครั้งนี้มีคนตายถึง 130 คน เป็นต้น

แต่ที่น่าจะถือเป็น “แผ่นดินถล่ม” หรือ ที่ฝรั่งเรียก “Landslide” ครั้งใหญ่สุดในเมืองไทยก็น่าจะเป็นเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531  โดยเกิด “ดินถล่ม” ครั้งใหญ่ขึ้นที่บ้านกะทูน อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำให้บ้านเรือนราษฎรพังพินาศไปกว่า 1,500 หลัง พื้นที่เกษตรถูกกลบฝังไปกว่า 6,150 ไร่ มีคนตายมากกว่า 700 คน ราษฎรไม่สามารถอยู่ในถิ่นเดิมได้ ทางราชการต้องจัดหาที่ให้โยกย้ายไปตั้งรกรากใหม่ เช่น ในพื้นที่อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล เป็นต้น

ที่จริงที่พูดเรื่องคำ “แลนด์สไลด์” นี้ขึ้นมา ก็เพียงเพราะเกิดความรู้สึก “หมั่นไส้” นักการเมือง และ พรรคการเมืองบางพรรค ที่นำคำ “แลนด์สไลด์” มาใช้กันแบบย้ำแล้วย้ำอีก ตั้งแต่ครั้งเลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครโน่นแล้ว ใช้กันเสียจน “เกร่อ” หู น่ารำคาญเท่านั้นเอง!

ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าคำ “แลนด์สไลด์” นั้น พวกชาติฝรั่งมังค่าทางแถบอัสดงคตประเทศ เขาใช้ในความหมาย “ชัยชนะทางการเมือง (เลือกตั้ง) แบบถล่มทลาย “มาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรต 1800 โน่นแล้ว!

ที่ “หมั่นไส้”ก็เพราะ มันสะท้อนให้เห็นว่า ชนชั้นนำทางสังคมที่เป็น “นักการเมือง” พวกนี้แหละ ที่ไม่เคยชื่นชมหรือภาคภูมิ หรือมุ่งหวังจะยกย่องอนุรักษ์ภาษาที่เป็นรากเป็นโคตรเหง้าศักราชของบรรพบุรุษปู่ย่าตาทวดของตนเสียเลย ทั้งๆที่คำฝรั่งเหล่านั้นก็มีคำไทยที่สามารถใช้สื่อสารกับชาวบ้านชาวช่องได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ยอมใช้ให้เป็นแบบอย่างทางนำแก่ชาวบ้าน!

รู้ทั้งรู้อยู่ว่า การที่พวกตนพยายามสร้างความคุ้นชินเชิงยกย่อง (ว่าทันสมัย) และ “ให้ค่า” ต่อภาษาต่างด้าว ของต่างชาติเมืองนั้น มันจะส่งผลให้ภาษาของชาติตัวเองด้อยค่าลงโดยไม่รู้ตัว พวกที่เป็นคนประเภทวัวลืมตีน เป็นขี้ข้าทางความคิดทางรสนิยมต่างชาติ  ที่มีโอกาสไปเป็น “ชนชั้นปกครอง” ผ่านสถานภาพ “นักการเมือง” เช่นนี้แหละ คือพวก “บ่อนทำลายชาติ”และ บ่อนทำลายอัตลักษณ์ของความเป็น “รัฐชาติไทย” ตัวจริง!

นี่ไม่ได้หมายความว่า การต้องเรียนต้องรู้ และ “ต้องใช้สื่อสารให้ได้ ให้เป็น” เกี่ยวกับเรื่องของภาษา “สากล”ทั้งหลายในโลกยุคปัจจุบัน จะไม่มีความสำคัญ ย่อมสำคัญยิ่งนัก แต่ต้องใช้อย่างมีสำนึก ไม่ใช่ใช้อย่างโง่เขลาไม่รู้คิดถึงผลได้ผลเสียในระยะยาวแบบพวกสำนึกขี้ข้า!

คนเขียนกลอนคนเดิมที่เขียน “นัก “กาน” เมือง” ฝากมาให้อ่านกันคราวที่แล้ว อุตส่าห์เขียนบทใหม่ฝากมาให้อีก คราวนี้ในหัวข้อ “นักการเมือง” (คำ “การ” ใช้ร.เรือสะกดไม่ใช่ น.หนู เหมือนบทเดิมนะคะ) ลองอ่านเปรียบเทียบกันเอาเองก็แล้วกันเขาว่ามาอย่างนี้ :

นัก “การ” เมือง

 ๐  เพียงรู้สึกนึกหน้าก็กล้าหวัง

ว่าคือปากคือพลังแห่งชนผอง

ว่าทุกยามที่ประชาน้ำตานอง

จะถอดหัวใจกองช่วยเหลือกัน

ให้ข้อมูลการศึกษาประชาราษฎร์

ให้กล้าวาดความเป็นไท-ให้กล้าฝัน

ให้กล้ารู้ลุกตื่นเพื่อยืนยัน

ถึงสิทธิ-ถึงคืนวันอันเสรี

ไม่ไต่เต้าไขว่คว้าหาอำนาจ

ไม่วางมาดอวดโอ่โชว์ศักดิ์ศรี

อาจหน้าดำ-แต่นิสัยต้องใจดี

และพร้อมพลีทุกอย่างเพื่อสร้างธรรม!

ต้องสู้พวกฉ้อฉล-พวกปล้นชาติ

ต้องคัดค้านทรราชผู้ขย้ำ

ต้องกล้าลุกต้านต่อผู้ก่อกรรม

ผู้หลอกลวงเหยียบย่ำประชาชน!

คือผู้รักดำรงความองอาจ

ชนทั้งชาติร้องหาอยู่ทุกหน

เป็นต้นแบบสู้อธรรมไม่จำนน

คู่ควรคนเพรียกขาน  “นั ก ก า ร เมือง”!ฯ

คนเขียนเขาลงท้ายหมายเหตุไว้ว่า : “มอบให้” นักนิยมเลือกตั้ง “ทุกคน ทั้งคนเสนอตัวให้ชาวบ้านเลือกและคนที่”ต้อง “เลือก” เผื่อเมืองไทยจะมีหวังขึ้นบ้าง!"!!!!