สถาพร ศรีสัจจัง

ดูเหมือนกระแสหลักเกี่ยวกับ “คุณค่า” ของผู้คนในสังคมไทยวันนี้ จะได้ข้อสรุปร่วมกันและตรงกันแล้วว่า “เงิน” คือสิ่งที่ทรงคุณค่าสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด  “เงิน” คือ “ตัวแปร” ของสิ่งที่คนยุคปัจจุบันเรียกว่า “ความสุข” ในทำนอง “เงิน 'ซื้อ' ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง”!             

เช่น ซื้อปัจจัย 4 ทั้ง ที่อยู่อาศัย/เครื่องแต่งกาย/อาหาร/และยารักษาโรค ที่ดีที่สุดได้อย่างที่ใจ(ที่เต็มไปด้วยกิเลสแห่งความไม่รู้พอ)ต้องการ/ซื้อความรักก็ได้/ซื้อตำแหน่งงานราชการก็ได้/ซื้อองค์กรยุติธรรมทั้งที่เป็นต้นน้ำ-กลางน้ำ และปลายน้ำก็ได้/ซื้อความผิดให้กลายเป็นความถูกก็ได้/ซื้อความชั่วให้กลายเป็นความดีก็ได้/ซื้อสีดำให้กลายเป็นสีขาวก็ได้/…ฯลฯ               

และที่สำคัญคือ สามารถซื้อนักการเมืองเพื่อนำไปสู่การซื้อประเทศชาติบ้านเมืองก็ได้!?                                   

นี่ถ้าท่านผู้นำเผด็จการคนสำคัญของประเทศไทย ที่เคยใช้ “อำนาจ” ในฐานะ “หัวหน้าคณะปฏิวัติ” ปกครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จ ด้วยสโลแกน “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” (ที่มาตรา 17 ของ “ประกาศคณะปฏิวัติ” ให้อำนาจท่านผู้นำท่านนี้ สามารถสั่งประหารชีวิตราษฎรที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในคดี “บ่อนทำลายชาติ” ได้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม) คือท่านจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ยังมีชีวิตอยู่หรือจะได้รับรู้อยู่ในโลกของ “เปตชน” แล้วละก็ คงหัวเราะจนเสียงดังก้องฟ้าเป็นแน่!

เพราะนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเป็น “หัวหน้าคณะปฏิวัติ” คนนี้เอง ที่ยกชูคำขวัญ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ขึ้นมา “โฆณาชวนเชื่อ” รณรงค์ให้คนในสังคมไทยเชื่อตาม  ทำถึงขนาดต้องส่งจดหมายสั่งการถึง “มหาเถรสมาคม” ให้ห้ามพระสงฆ์ไทยเทศน์ธรรมะของพระพุทธเจ้าในหัวข้อเรื่องที่เกี่ยวกับ “สมถะ สันโดษ”  เพื่อตอบสนอง “การพัฒนาประเทศไปสู่ความทีนสมัย (Modernization)” ตามแนวทางของโลกตะวันตก ที่นายกฯคนนี้เอง เป็นตัวเจ้ากี้เจ้าการเชื้อเชิญให้ “มหามิตรอเมริกา” มาวางแผนการพัฒนาประเทศไว้ให้!

นั่นคือเบื้องสำคัญ ของการนำสังคมไทยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยมบริโภคเสรี” (Capitalism) ที่มี “หัวใจ” ของระบบอยู่ที่ “เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด”!

คือต้องทำให้คนในสังคมเห็นเงินเป็นเหมือน “พระเจ้าสูงสุด” ของคุณค่าในการเกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการคิดแบบที่ว่า “จะทำอะไรก็ตาม 'ตัวกูและพวกกู' ต้องได้กำไรสูงสุด”!

จอมพลสฤษดิ์ขึ้นครองอำนาจเบ็ดเสร็จเมื่อ พ.ศ.2500 (ใช้ 'หุ่น' เป็นายกฯ 'นอมินี' ก่อนนิดหน่อย) เมื่อนับถึงปัจจุบันก็เป็นเวลาเพียง 65 ปีเท่านั้นเอง คำขวัญ “เงินคืองาน บันดาลสุข” ก็บรรลุผลแบบทะลุเป้า!

ลืมบอกไปนิดหนึ่งว่า นายกรัฐมนตรีไทยที่ชื่อสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ที่มี “อนุภรรยา” ประเภท “นางงามและดารา” มากมายเต็มฮาเร็ม (ในค่ายทหาร) และ ถูกผศาลประกาศยึดทรัพย์ตอนตายคนนี้เอง ที่ได้รับเกียรติจากกวี นักปราชญ์ร่วมสมัยคนสำคัญที่สุดของไทย คือ “จิตร  ภูมิศักดิ์” ตั้งฉายาให้ว่า เป็น “ควายเขาระฟ้า” และ “อาชญากรที่บ้ากาม” !(ดูหนังสือ “กวีการเมือง”)

เริ่มต้นปีใหม่ 2566 นี้  ปี่กลอง การเลือกตั้งก็เชิดฉิ่งดังก้องขึ้นเรื่อยๆแล้ว ทั้งนักการเมืองและพรรคการเมือง (โดยเฉพาะนัก 'กาน' เมือง) ล้วนเคลื่อนไหวกันแบบจุ้นจ้านคึกคัก ตอนนี้แทบทุกสื่อ ทุกสายถนนทั่วประเทศ ล้วนเริ่มเปรอะเต็มไปด้วย “นโยบาย”  และ “ป้ายโฆษณา(ชวนเชื่อ?)” ทั้งของพรรคการเมืองและนักการเมือง 

อย่างเช่น ช่วงที่เพิ่งพ้นผ่าน เราก็ได้เห็นสาวสวยรวยเสน่ห์ (และเงิน) จากพรรค “เพื่อไทย” ออกมาแจ้วๆ “ตีปลาหน้าไซ” ขายนโยบายเรื่องเงินๆทองๆ ทำนอง “ถ้าเลือกพรรคเรา เงินค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มเป็น 600 บาท/ปริญญาตรีเริ่มสตาร์ตที่เงินเดือน 25,000 บาท!”  จนกลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” แบบไร้สาระไปพักใหญ่!

พรรคการเมืองเก่าแก่อย่าง “ประชาธิปัตย์” ก็ไม่เบา ไม่แน่ใจว่าเพราะกลัวจะตกเทรนด์เรื่อง “เงินเป็นใหญ่” หรือเพราะมีหัวหน้าพรรคเป็นนักเซ็งลี้ฮ้อ อย่างท่าน 'อู๊ดด้า' อดีตนักเขียนการ์ตูนการเมืองมือดี จากนสพ.สยามรัฐ หรืออย่างไร  เห็นออกนโยบาย “สร้างเงิน-สร้างคน-สร้างชาติ” มาติดป้ายกันเกลื่อนแทบทุกสายถนน!(ให้สังเกตว่า “สร้างเงิน” มาก่อน “สร้างคน” และ “สร้างชาติ”)

พรรคภูมิใจไทยของเสี่ยหนูและครูใหญ่เนวิน นั่นก็ไม่เบา เห็นติดป้ายไว้นานแล้วว่าจะพักหนี้ให้คนไทย(ที่ชอบเป็นหนี้ตามแรงยุแรงกระตุ้นของระบบทุนนิยมบริโภค) อย่างทั่วหน้าถึง 3 ปี ส่วนเรื่องนโยบายจ่ายเงินค่าหัวให้คนแก่ถึงเดือนละ 2-3 พันของพรรคสุดารัตน์ (ศิษย์ทักษิณ?) นั่นก็เห็นชัดว่า คนแก่เมืองไทยต่อไป จะต้องอยู่สุขสบายกันทั่วหน้าแน่แท้เดียว  ด้านพรรคน้องใหม่อย่าง “รวมไทยสร้างชาติ” ของคุณพีระพันธุ์ นั้นคงไม่ต้องพูดถึง “ลุงตู่” แกแจกเงินสดๆให้ 'คนจน' ให้เห็นมาตั้งแต่ปีมะโว้โน่นแล้ว!…ฯลฯ

เห็นนโยบายเกี่ยวกับ “เงินเป็นใหญ่” (ตามแนวคิดของระบบทุนนิยมบริโภคแบบโลกตะวันตก)ของบรรดาพรรคการเมืองไทยวันนี้แล้ว ก็ให้เชื่อเสียจริงๆแล้วละว่า แนวคิดเรื่อง “ทางสายกลาง” ของพระพุทธเจ้า และแนวคิดเรื่อง “ความพอเพียง”ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไม่เคยอยู่ในกะโหลกกะบาลของบรรดานักการเมืองไทย ทั้งรุ่นหัวขาวและหัวดำกันเลย!!

หรือพวกเขาจะมีเพียงเสียงเพลง “แต่เงินน่ะมีไหม…” ของ 'แม่ผึ้ง' พุ่มพวง  ดวงจันทร์ ที่ท่านศิลปินแห่งชาติ วิเชียร  คำเจริญ หรือ “ลพ  บุรีรัตน์” แต่งให้ร้องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 โน่นแล้ว บรรจุไว้เต็มกะบาลแทนกระมัง! ถ้างั้น คนบางพวกที่กำลังวิ่งย้ายพรรคกันให้ว่อนอย่างที่เห็นๆกันอยู่ตอนนี้ ก็คงต้องร้องเพลงของคุณพุ่มพวงฯ (ผู้จากไปก่อนแล้ว) เพลงนี้กันได้คล่องปากทุกคนสิท่า โดยเฉพาะท่อนท้ายที่ว่า “อย่าเข้าใจว่าฉันเป็นกระสือ…แต่อื่อ..หื้อ..อือ…แต่เงินน่ะมีไหม…” !!!!!