สถาพร ศรีสัจจัง

ยุค “ปราบคอมมิวนิสต์” ในประเทศไทยนั้น เริ่มกันมาตั้งแต่ช่วงยุคที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำ “กองกำลังจัดตั้งติดอาวุธ” ที่เรียกกันว่า “ทหาร” เข้ายึดอำนาจรัฐไทย แล้วเข้าสู่อำนาจการปกครองประเทศแบบ “เผด็จการ” (ของแท้ไม่ใช่หน่อมแน้มแบบนักรัฐประหารรุ่นหลัง) ตั้งแต่เมื่อครั้งเพิ่งเริ่มทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา

เป็นการปกครองประเทศแบบ “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” (เหมือนกับที่เขา “รับผิดชอบ” นางงามบางเวที ที่ชนะการประกวดทั้งคณะในบางปี ด้วยการ “เอาไปรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” โดยมอบตำแหน่ง “อนุภรรยา” ให้กับทุกคนในทีมอย่างเสมอหน้ากันนั่นแหละ!

แถมยังไปตั้ง “ฮาเร็ม” อยู่ในกองทหาร ชนิดเย้ยฟ้าท้า “กรรม” แบบไม่กลัวบาปกลัวเวรสักกะนิด…!

การ “ปราบคอมมิวนิสต์” ครั้งนั้น เป็นตามนโยบายสำคัญที่ “ชนชั้นปกครองไทย” รับมาจาก “พี่เอื้อย” คือ สหรัฐอเมริกา ที่นายกรัฐมนตรีไทยที่ชื่อ “สฤษดิ์  ธนะรัชต์” ให้ความเชื่อถือและปฏิบัติตามแบบเซื่องๆ เพื่อแลกกับ “การค้ำประกันความมั่นคง”ใน “อำนาจ” ทางการเมืองภายในประเทศของตัวเอง

ยุคนั้นเป็นช่วงที่โลกเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหมาดๆ  !

ที่จริงเรื่องราวเหล่านี้ เพิ่งผ่านมาเพียง 65 ปี/หรือห้าทศวรรษครึ่งเท่านั้น  แต่ดูเหมือนคนไทยนเกือบทั้งประเทศ น่าจะลืมเลือนกันไปหมดแล้ว (ตามแบบแผนของคนในประเทศที่ไม่เคยเห็นถึงความสำคัญในเรื่อง “ประวัติศาสตร์” ของชาติหรือสังคมตัวเอง!) 

ขณะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นชาติที่ชนะสงคราม โดยที่ประเทศไม่ต้องบอบช้ำอะไรเลย (เพราะไม่ใช่พื้นที่สงคราม)กำลังใช้โอกาสนั้นเริ่มตั้งตัวเป็น “เจ้าโลก” โดยชูสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ระบบเสรีนิยม” ขึ้นเป็น “ปรัชญา” ไว้เหนือเกล้าเกศา

ซึ่งแน่ละ! ย่อมมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้ คำ “สิทธิ” และ “เสรีภาพ” (ตามแบบวิธีคิดของชาวตะวันตก ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา) เริ่มแผ่กระจายเพ่นพ่านไปทั่วเมืองไทยมาตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้!

การทำให้โลกถูกแบ่งเป็น 2 ค่าย 2 ขั้ว ก็เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งนั้น และยังคงเหลือซากเดนให้เห็นมาจนถึงบัดนี้ นั่นไง! 

แม้ต่อมา ที่ประเทศซึ่งมีวัฒนธรรมเก่าแก่อย่างเยอรมัน “ระบบทุนนิยมเสรี” จะสำแดงชัยชนะ คือสามารถทลาย “กำแพงเบอร์ลิน” ให้ถล่มลง ต่อหน้าต่อตา  ทำให้เยอรมันตะวันตก (ที่ชูระบบเสรีนิยมตามอเมริกา) กับเยอรมันตะวันออก (ที่ชูระบบสังคมนิยมนิยมแบบรัสเซียในยามนั้น) สามารถหลอมรวมกันได้และยึดเอาระบบ “ทุนนิยมเสรี” เป็นระบบเศรษฐกิจกระแสหลัก รวมถึงรับสมาทานการปกครองประเทศ ด้วยระบบการเมืองแบบมีการเลือกตั้งตัวแทนประชาชน เข้าไปเป็นฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ที่ชาติตะวันตกเรียกว่า “ประชาธิปไตย” มาเป็นสรณะ

แต่ที่เวียดนาม ฝ่ายสังคมนิยม คือ เวียดนามเหนือ ภายใต้การนำโดย “วีรบุรุษของชาติ” คือ “ลุงโฮ” (Uncle Ho) หรือโฮจิมินห์ ก็สามารถมีชัยเหนือเวียดนามใต้ที่ปกครองโดยรัฐบาลหุ่นเชิดของสหรัฐอเมริกา จนสามารถ “ขับไล่” บรรดาทหาร “แยงกี้ตาน้ำข้าว” ชาวต่างชาติออกไปจากประเทศ 

แบบที่อาจเรียกได้ว่า “หนีกลับประเทศแทบแบบหางจุกตูด” จนประเทศเพื่อนบ้านของเราแห่งนั้นสามารถหลอมรวมประเทศให้กลายเป็น “ประเทศสังคมนิยมเวียดนาม” เพียงหนึ่งเดียว อย่างที่เห็นๆกันในวันนี้!

ที่ยังเห็นซากของความแตกแยกขัดแย้ง (จากการจัดการของบรรดาชาติจักรพรรดินิยมหรือ “มหาอำนาจ”) ชัดเจนอยู่จนบัดนี้ ก็คือ “เกาหลี” ที่จนบัดนี้ก็ยังเป็น “เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้” อยู่เช่นเดิม เหมือนตอนเพิ่งเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ใหม่ๆ

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความเข้มแข็งของ “ตระกูลคิม” แห่งเกาหลีเหนือ ที่มีท่านประธาน “คิม อิล ซุง” (ผู้ปู่) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง “ปลดแอก” ประเทศวางไว้ จนสามารถส่งต่อมาถึงลูกชาย และ จนถึงบัดนี้ถึงหลาน อย่าง “คิม จอง อึน” กำลังสำแดงเดชให้โลกเห็น (โดยไม่เคยเห็นจักรพรรดินิยมอเมริกาอยู่ในสายตา) อยู่นั่นไง หรือเปล่า?

ส่วนเกาหลีใต้ที่นำพาประเทศเดินตามระบบเสรีนิยมสุดขั้วแบบโลกตะวันตก (ภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของสหรัฐอเมริกา) ก็ยังคงยืนหยัดสวามิภักดิ์ลูกพี่สหรัฐอเมริกาอย่างหนักแน่นอยู่เช่นเดิม และ ดูเหมือนจะหนาหนักขึ้นเรื่อยๆ(ถึงขนาดต้องยอมเป็นพันธมิตรกับ “ศัตรูทางประวัติศาสตร์” อย่างญี่ปุ่น

จะพูดถึง “ยุคปราบคอมมิวนิสต์” ในเมืองไทยแท้ๆ กลับเฉออกไปนอกเรื่องเสียยาว แต่นั่นก็น่าจะอยู่ในกรอบ “วาทกรรม” การ “ปราบคอมมิวนิสต์” นั่นแหละ!  เพราะโดยเนื้อหาของความขัดแย้งในโลกปัจจุบัน (ที่บรรดาชาติชาติพรรดินิยมกับชนชั้นปกครองในประเทศ “เมืองพึ่ง” ทั้งหลายร่วมกันสร้างขึ้น) ก็ไม่ได้มีความผิดแผกแตกต่างกับ “ยุคสงครามเย็น” หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่อย่างไร เพียงแต่ดูจะน่ากลัวกว่าเท่านั้น เพราะในปัจจุบัน การคานอำนาจกันของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่ “Balance of power” เสียแล้ว แต่มันคือ “Balance of Terror” ต่างหาก!

ก็บรรดาสิ่งที่เรียกว่า “ปรมาณู” หรือ “นิวเคลียร์” ที่จ่อคอหอยชาวบ้านตาดำๆทั่วโลก ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ด้วยอยู่นั่นไงหรือนักทฤษฎีรัฐศาสตร์คนไหนยังไม่เห็น?

สถานการณ์ความขัดแย้งของ “ผู้มีอำนาจ” ที่แบ่งออกเป็น 2 ขั้ว 2 พวกเช่นนี้เอง ที่ชาวบ้านผู้ไร้อำนาจวาสนาอย่างเราๆเรียกว่ากันว่า อยู่ระหว่างเขาควาย!

คือจะพลิกตัวไปทางไหนก็พร้อมจะเกิดอันตรายจาก “เขาควาย” ที่แหลมคมชั่วร้ายนั้น!

ภาพรูปธรรมแห่งการ “อยู่หว่างเขาควาย” ของชาวบ้านนั้น  คนไทยชนบทในขอบเขตทั่วประเทศ ล้วนเคยต้องเผชิญมาแล้วทั้งสิ้น  โดยเฉพาะในยุคแห่งความคึกคะนองของ “อำนาจรัฐปฏิกิริยา” ที่รู้จักกันในนาม “ยุคถนอม-ประภาส” 2 จอมผลผู้ขึ้นเถลิงถวัลย์อำนาจเผด็จการสืบต่อจากเผด็จการสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ผู้ที่คือ “ควายเขาระฟ้า” ในสายตาของปัญญาชน-กวี-นักคิด-นักเขียน-นักปฏิวัติ คนสำคัญของสังคมไทยอย่าง “จิตร  ภูมิศักดิ์” ที่ต้องเสียสละชีวิตสร้างสรรค์ของท่าน จากการ “ล้อมปราบ” ของ “ฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์” ตามนโยบายของ “ลูกพี่” คือสหรัฐอเมริกา ในช่วงยามการปกครองประเทศของพวกเขาเหล่านี้เอง!!!