สถาพร ศรีสัจจัง

เกิดเป็นคนไทย (สังกัดชนชั้นราษฎรธรรมดานะ ไม่ใช่พวก “บิ๊กๆ” หรือบรรดาสมุนทั้งสายตรง และสายอ้อม ทั้งที่เปิดเผย และปกปิด)นั้น เหมือนมีเวร มีกรรมติดตัวมาตั้งแต่เกิดจริงๆ เพราะห้วงเวลาของชีวิตส่วนใหญ่มักไม่มีทางเลือก ต้องถูกผลักชีวิตให้เข้าไป “อยู่ระหว่างเขาควาย” ทุกยุคทุกสมัยเสมอๆ ที่เห็นชัดๆ อย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงต้นทวรรษ 2500 จนถึงบัดเดี๋ยวนี้

ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2500 จนถึงอย่างน้อยก็ช่วงปลายๆทศวรรษ 2520 ที่คนไทยในชนบท (ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ในขณะนั้น)โดยเฉพาะในภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคเหนือ ล้วนต้องตกในภาวะ “อยู่ระหว่างเขาควาย” แทบจะทั้งสิ้น คือตกอยู่ระหว่างอำนาจรัฐ 2 อำนาจรัฐ  ฝ่ายหนึ่ง คือ “อำนาจรัฐในเขตป่าเขา” นำโดย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อีกหนึ่งคืออำนาจรัฐที่เป็นของ “ฝ่ายรัฐบาล” 

ทั้งที่มาจากการรัฐประหาร หรือจากการเลือกตั้ง ที่มีกองกำลังจัดตั้งติดอาวุธในนามของทหาร-ตำรวจและอาสาสมัครติดอาวุธในชื่อต่างๆ!

“รัฐบาล” ซึ่งชาวพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(ที่หลายคนตอนนี้มีบทบาทสำคัญๆอยู่ในพรรคการเมืองหลายๆพรรค อย่าง “สหายแสง” รองประธานสภาผู้แทนราษฎรในปัจจุบันจากพรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” นั่นก็เป็นชาวพรรคคอมมิวนิสต์คนหนึ่งในเขตภาคอีสาน เป็นต้น) ตอนนั้นเรียกว่าเป็น “อำนาจรัฐปฏิกิริยา”

ที่ว่าราษฎรต้องตก “อยู่ระหว่างเขาควาย” ก็เพราะในช่วงยามเช่นนั้น พวกเขาเหมือนจะขยับตัวไม่ได้ จะเอียงไปทางไหนก็อาจถูก “คมเขา” จากด้านใดด้านหนึ่งได้ง่ายๆ โดยเฉพาะจากฝ่ายที่ถูกเรียกว่า “อำนาจรัฐปฏิกิริยา” อะไรนั่น

ถ้าใครไม่เชื่อก็ลองไปถามพี่น้องชาวพัทลุงแถบอำเภอกงหรา อำเภอศรีนครินทร์ หรือ อำเภอศรีบรรพต ที่สูงอายุหน่อยดูก็ได้ ว่าพ่อแม่เครือญาติของพวกเขาในช่วงยามนั้นต้องตกตายไปเพราะ “เขาควาย” ในเหตุการณ์ “ถีบลงเขา-เผาลงถังแดง” มากเท่าไหร่ และ “สมุนของอำนาจรัฐปฏิกิริยา” ครั้งนั้น ปฏิบัติอย่างเหี้ยมโหดต่อประชาชนแค่ไหนอย่างไร?!

หรือจะไปหาหนังสือที่เกี่ยวกับ “กรณีถังแดง” มาอ่านดูบ้างก็ได้ น่าจะยังพอหาได้ ที่ง่ายสุดก็คือพิมพ์คำว่า “ถังแดง” เข้าไปถาม “อากู๋” คือกูเกิล ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับกรณีนี้ ก็จะเห็นตัวหนังสือพุ่งออกมาเป็นทิวแถวจนอ่านไม่ทันกันทีเดียวเชียวแหละ!

จนได้ “ผู้รู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน” ที่ชื่อพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ “วีรบุรุษขี่ม้าขาว” จากลุ่มทะเลสาบสงขลา ผู้ได้รับเกียรติสูงสุดให้ดำรงตำแหน่ง ทั้งประธานองคมนตรี และ “รัฐบุรุษ” ในตอนหลัง มาแก้ไขปัญหาขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยนโยบาย “การเมืองนำการทหาร” ที่เรียกว่า “นโยบาย 66/23” แล้วนั่นดอก ปัญหาการสู้รบระหว่าง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” กับ “รัฐบาลปฏิกิริยา” ในครานั้นจึงได้ยุติลง และ ประชาชนที่ต้องอกสั่นขวัญแขวน “อยู่ระหว่างเขาควาย” มายาวนานพอจะถอนกายใจได้ยาวๆแบบสงบๆขึ้นได้บ้าง!

ผ่านจากยุคสมัย ฯพณฯ พลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ มาได้ไม่นาน “เขาควาย” ที่เหมือนจะหายๆไปสักพักหนึ่ง  ก็หวนกลับมาใหม่แบบน่าตกใจ  เที่ยวนี้มาในนามและหน้าตาแบบใหม่ดูดี ในคราบของสิ่งที่เรียกกันแบบหรูหราทรงเกียรติยิ่งนักว่า “นักการเมืองแห่งระบอบประชาธิปไตย”!

พวกนี้เป็นเหมือนพวกตัว “ดักแด้” ที่ต้องมีเกราะหุ้มเป็นที่พักอาศัย(บางคนเรียกเกราะหุ้มดังกล่าวนี้ว่า “ที่สุมหัวของพวกชั่ว”! เขาว่าของเขาอย่างนั้นจริงๆ!) เรียกว่า “พรรคการเมือง” เป็น “พรรคการเมือง” ที่ว่ากันว่าเหมือนบริษัทจำกัด ที่ล้วนมี “เจ้าของ” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสิ้น

นั่นช่างสอดคล้องกับ “ระบบทุนนิยมเสรี” ที่คู่เคียงกับสิ่งที่เรียกว่า “ระบบประชาธิปไตย” เสียยิ่งนัก  ความเหมือนที่สำคัญที่สุดของระบบดังกล่าวนี้ก็คือ การทำให้ทุกอย่างกลายเป็นทรัพย์สินเอกชน

(Private  property คือสินทรัพย์ที่มีผู้ถือครองเป็นเจ้าของ) คือต้องทำให้ทุกอย่างเป็น “สินค้า” ซึ่งมี “มูลค่า(ไม่ใช่คุณค่า)ที่มีเป้ามุ่งเพื่อสร้าง” กำไรสูงสุด แก่ผู้เป็น “เจ้าของ” เท่านั้น!

สิ่งที่เรียกว่า “พรรคการเมือง” ในสังคมไทยวันนี้  ทุกพรรคจึงล้วนมี “เจ้าของ” เพราะมันเป็นเพียง “สินค้า” ที่มีไว้เพื่อขายเพื่อแสวงหา “กำไรสูงสุด” เท่านั้น สิ่งที่เรียก “นักการเมือง” ในระบบเช่นนี้จึงเป็นเหมือน “สินค้า” ที่มีมูลค่าเป็นราคาเพื่อไว้ซื้อขายกันเท่านั้น

หรือใครยังไม่เห็น?!

การต่อสู้หรือความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมือง หรือ “กลุ่มพรรคการเมือง” (พวกเขาพร้อมที่จะรวมกันเป็นกลุ่มเดียวกันเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเพื่อการร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ที่ลงตัว) ในยุคสมัยที่ “เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด” เช่นนี้ ก็ล้วนเป็นไปเพียงเพื่อชัยชนะของ  “ตน ฝ่ายตน หรือพวกพ้องตน” เพื่อพิทักษ์และตักตวงผลประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น!

ลองพิจารณาดูคอกขังสินค้าที่เรียกว่า “พรรคการเมือง” และ เจ้าของคอกแต่ละคอกในสังคมไทยปัจจุบันให้ละเอียดทุกซอกทุกมุมดูซิ

ต้องดูให้ผ่านรูปกายภายนอก(ที่อาจดูดี สะอาดสวยงาม น่าเชื่อถือ และปากดี)นะ ดูให้ลึกลงไปถึงอวัยวะภายในของพวกเขาเลย บางทีอาจจะเห็นก็ได้ว่า คนพวกนี้ เต็มไปด้วย “ตัวกูของกู” อย่างไร มีหัวใจที่ดำมืดด้วยกิเลสอย่างไร มีปาก และกระเพาะที่กินไม่เคยอิ่มบรรจุไม่เคยเต็มอย่างไร มีจริตที่เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ และโมหะ อย่างไร เป็นพวก “ปากหวานก้นเปรี้ยว” อย่างไร ฯลฯ นั่นแหละ ที่อาจทำให้ประชาชนอย่างเราๆตาสว่างขึ้นบ้างก็ได้ และ อาจจะพบด้วยว่า ตอนนี้พวกเราทั้งหลายต่างตก “อยู่ระหว่างเขาควาย” ที่แสนจะอันตรายในรูปแบบใหม่นี้อย่างไรบ้างก็อาจเป็นได้!!!