สถาพร ศรีสัจจัง                                                                      

ทำไมจึงต้องไทยแลนด์ และทำไมจึงต้อง “เอสโตเนีย” ?

ที่มาของหัวเรื่อง น่าจะมีเหตุมาจากข้อมูลดังนี้ :

ประเทศไทยถูกจัดอันดับการใช้ระบบ “อินเตอร์เน็ต” หรือระบบ “ออนไลน์” โดยเฉพาะที่ใช้ผ่านทาง “สมาร์ท โฟน” ให้เป็นลำดับที่ 1 ของโลก!

และถูกจัดลำดับว่า มีคนใช้ “Facebook” มากที่สุดในโลกเช่นกัน!

ในขณะที่…ประเทศ “เอสโตเนีย” เป็นประเทศ “ตัวอย่าง” ที่โดดเด่นที่สุดของโลก ในการนำ “ระบบอินเตอร์เน็ต” หรือ “ระบบดิจิทัล” หรือระบบ “ออนไลน์” มาเป็น “เครื่องมือทางสังคม” (Social tool) ในการพัฒนาผู้คนในสังคมของประเทศเขา ให้เข้มแข็ง และมั่งคั่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วที่สุดในโลก!

และเป็นประเทศแรกของโลก ที่สามารถจัดการเลือกตั้งระดับประเทศที่โปร่งใสสะอาดบริสุทธิ์ยุติธรรมด้วยระบบ “ออนไลน์” หรือระบบอินเตอร์เน็ตประสบผลสำเร็จอย่างดีเลิศ!

ประเทศเอสโตเนียคืออะไร อยู่ที่ไหน และอย่างไร?

เอสโตเนีย นั้นเป็นรัฐเล็กๆแถบทะเลบอลติคในย่านที่เรียกกันว่า “ยุโรปเหนือ” เป็นรัฐหนึ่งที่ในปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า “รัฐบอลติก” มีประเทศเพื่อนบ้านสำคัญซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกันคือ “ลิทัวเนีย” และ “ลัตเวีย”

ที่สำคัญก็คือ เป็นประเทศที่ “ฮอต” แบบสุดๆในสายตาของบรรดา “รัฐนาโต” ภายใต้การนำของเจ้าโลกนามสหรัฐอเมริกา นั่นคือเจ้านายเก่าของเอสโตเนียที่ชื่อ “รัสเซีย”!

เอสโตเนียในอดีตนั้นตกอยู่ภายใต้การปกครองทั้งของเยอรมนีและรัสเซีย แต่หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายลง เอสโตเนียก็ได้แยกออกมาเป็นประเทศเอกราช

เหมือนกับยูเครน และประเทศแถบยุโรปตะวันออกทั้งหลายที่เคยตกอยู่ภายใต้จักรวรรดิ “สหภาพโซเวียต” ในอดีตนั่นเอง

เป็น “รัฐชาติ” สมัยใหม่เล็กๆที่อาจกล่าวได้ว่า เพิ่งเริ่มตั้งหลักพัฒนาประเทศมาเพียงประมาณ 2 ทศวรรษกว่าๆ  โดยเริ่มต้น “พัฒนา” อย่างแท้จริงก็เมื่อตอนเริ่มแยกตัวมาจาก “สหภาพโซเวียต” เมื่อปีค.ศ 1991 แล้วนั่นแหละ  

ตอนประกาศแยกตัวจากรัสเซียมาเป็นรัฐเอกราชสมบูรณ์ ตั้งแต่ปีค.ศ.1990 และได้รับการรับรองจากรัสเซียอย่างเป็นทางการในปี 1991 รวมถึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเอสโตเนีย” เป็น “สาธารณรัฐเอสโตเนีย” ที่ปกครองแบบ “ระบบสภาเดียว” นั้น ประเทศเอสโตเนียยังยากจนมาก ถึงกับผู้นำกองกำลังจัดตั้งติดอาวุธในปัจจุบันกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในทำนองว่า “ตอนนั้นประชาชนเอสโตเนียมีเงินเริ่มต้นกันเพียงคนละ 10 ยูโร” (หรืออะไรทำนองนั้น)

แต่เมื่อถึงปีค.ศ.2021 หรือ 30 ปีหลังจากนั้น ประชาชนในประเทศนี้ มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวถึง คนละ 27,101 ยูเอสดอลลาร์ !(ไทย 16,946 ยูเอสดอลลาร์)

และกลายเป็น “ประเทศดิจิทัลต้นแบบของโลก” ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศล้วนใช้ระบบดิจิทัลจัดการ และมุ่งไปสู่การเป็น “ดิจิทัล” ในทุกๆเรื่อง!

ไม่ว่าระบบการจัดการทั้งหมดของรัฐบาล ระบบบัตรประชาชนและฐานข้อมูลทุกเรื่อง ระบบการเลือกตั้ง ระบบธุรกิจทุกประเภท (โดยเฉพาะธุรกิจ “สตาร์ท อัพ” เกี่ยวกับดิจิทัลที่เข้มแข็ง) ฯลฯ

แม้ถ้าดูตัวเลขจีดีพี ทั้งที่เป็นมวลรวมและถัวเฉลี่ยเป็นรายหัวแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่ายังเทียบกับรัฐสมัยใหม่ใกล้บ้านเราอย่างประเทศสิงคโปร์ไม่ได้เลย (สิงคโปร์มี จีดีพี ในปีค.ศ.2021 ถึง 600,063 ล้านยูเอสดอลลาร์ และมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรถึง 102,702 ยูเอสดอลลาร์)  

แต่นั่นสิงคโปร์เขาเริ่มต้นพัฒนาประเทศ (หลังแยกตัวจากสหพันธรัฐมลายา) มาตั้งแต่ปีค.ศ.1963 โน่นแล้ว เวลาในการพัฒนาประเทศแตกต่างกันเยอะ!

แล้วทำไมจึงต้องตั้งประเด็นเป็นหัวเรื่องให้หวาดเสียวว่า “จากเอสโตเนีย ถึง ไทยแลนด์” ด้วยเล่า?

ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากให้มีการเปรียบเทียบ “ความก้าวหน้า” ในด้านการใช้และการพัฒนาระบบดิจิทัล ซึ่งฟังว่า จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สุดในปัจจุบัน (และอนาคต) ว่าประเทศนั้นๆจะสามารถก้าว “ทันโลก”หรือจะ “ล้ำหน้า” คนอื่นประเทศอื่นหรือไม่อย่างไร ในขณะที่ประเทศเล็กๆซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชอย่างเอสโตเนีย (ที่มีประชากรไม่ถึงล้านห้าแสนคน) เขาไปไกลถึงขนาดเป็นประเทศดิจิทัลแทบจะสมบูรณ์แบบแล้ว 

แล้วประเทศไทยแลนด์ของเราละ? ได้ลงทุน ได้พัฒนา และได้ใช้ประโยชน์ เพื่อความมั่งคั่ง เพื่อความก้าวหน้า และมั่นคงยั่งยืนของประเทศในเรื่องนี้อย่างไรบ้างเล่า

หรือปรากฏการณ์เกี่ยวกับการใช้การพัฒนาระบบ “ออนไลน์ดิจิทัล” ของไทยแลนด์ในรอบอย่างน้อย คือช่วง 10 ปีที่พ้นผ่าน (จากระบบ “ชินวัตร” ถึง “ระบบ คสช.”) จะไม่ตอบคำถามว่า เราน่าจะก้าวหน้าไปไกลกว่าประเทศเอสโตเนียเยอะ เพราะได้ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชนิดนี้อย่างเป็นรูปธรรมจำนวนมาก  อย่างน้อยก็ทำให้ผู้นำบางคนในอดีต (แม้จะต้องนิราศร้างห่างบ้าน) กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก แบบรวยไม่รู้เรื่อง ก็จากการสัมปทานผูกขาดโทรศัพท์ จากการขายดาวเทียมระบบการสื่อสารพวกดิจิทัลเหล่านี้ไม่ใช่ละหรือ?

ทั้งนี้ยังไม่นับ ระบบการพนันออนไลน์ ที่กำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทำเงินมหาศาลจนยากที่จะประเมินว่าในรอบ 10 ปีนี้จะเป็นกี่ล้านๆๆ ทั้งระบบออนไลน์หวย (ของรัฐของพลัส และ ของหวยเถื่อนอื่นๆ)

และยัง “เว็บพนันออนไลน์” ที่ยิ่งนับวันยิ่งฟังว่าจะ “สะพรึบสะพรั่ง ณ หน้า ณ หลัง ณ ซ้าย และ ขวา” ทั้งตัวเลขจำนวนเว็บไซต์ จำนวนคนเล่น จำนวนวงเงิน จำนวนเศรษฐีใหม่ และ จำนวนกิจการธุรกิจ “ฟอกขาว” ฯลฯ จนสำนักวิจัยการพนันที่ว่าเก่งนักเก่งหนาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยของ รศ.ดร.นวลน้อย อะไรนั่น วิจัยตัวเลขแทบจะไม่ทันกันอยู่แล้วอีกละ !

เรื่องตำรวจออนไลน์จะจับได้ไล่ทันนั่น หรือ บรรดาเกจิเขาว่าอย่าหวังเลย ก็นอนทับส่วยกันอ้วนท้วนสมบูรณ์ทั้งระบบอยู่อย่างนั้น จะไปไล่จับใครไหว? ชาวบ้านเขาพูดกันให้แซ่ด แล้วพรรคการเมืองแห่งไทยแลนด์พรรคไหนบ้างละ? ที่ยังไม่ได้ใช้เงินอกุศลสีเทาสีดำพวกนี้ ทั้งที่เปิดเผยแล้ว และยังลับอยู่จะต้องรอให้ใครตะโกนบอกอีกละ? “ชูวิทย์” หรือ “ตู้ห่าว” หรือ “ป.ป.ป.”?!