สถาพร ศรีสัจจัง

ในยุคปัจจุบันมีข้อสรุปเกี่ยวกับ “ต้นเหตุ” ของโลกวิกฤติ หรือ “ต้นเหตุหลักแห่งการทำลายโลก” ไว้เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นข้อสรุปที่เกิดจากการ “ประมวลสรุปปรากฏการณ์เฉพาะหน้า” บ้างก็สรุปลงไปที่ปัญหาสิ่งแวดล้อม (Ecological problem) ทั้งที่ทุกฝ่ายล้วนประจักษ์อย่างแจ่มชัดแล้วว่า ปัญหาต้นเหตุที่แท้จริง คือ ปัญหาที่เกิดจาก “ระบบเศรษฐกิจ การเมือง”!

ซึ่งก็คือระบบเศรษฐกิจ การเมืองที่เรียกกันในปัจจุบันว่า “ระบบทุนบริโภคนิยมแบบผูกขาด” (Liberal consumer imperialism?)ที่มีอิทธิพลครอบโลกอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง!

ระบบดังกล่าวนี้ มีหัวใจหลักอยู่ที่การผลิตเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการทำ “กำไร” สูงสุด จึงต้อง “โปรแกรมความคิด”กระตุ้นเร้าให้มนุษย์เชื่อ และ เกิดคตินิยมในเรื่องการบริโภคอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดและอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ระบบนี้เองคือที่มาของการปล้นสะดมทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลายจากโลก ปล้นสะดมภ์แรงงานส่วนเกินจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ใช้ภาษี และ ทรัพยากรของส่วนรวมผลักดันให้คนบางพวกบางกลุ่มผลิตสร้างสิ่งที่เรียกว่า “นวัตกรรม”(Innovation) ทั้งหลายขึ้น แล้วบอกว่าสิ่งนั้นเป็น “ทรัพย์สินเอกชน” (Private property) ที่ล่วงละเมิดไม่ได้ เพื่อผลได้เชิงกำไรสูงสุดของตนเอง และ พวก 

ความเหลื่อมล้ำทุกด้านในสังคมนุษย์จึงเกิดขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นทุกทีๆ การใช้ทรัพยากรอย่างพร่าผลาญและไม่เป็นธรรมจึงเกิดขึ้นในทุกหย่อมย่านของโลก 

และสุดท้ายโลกก็วิกฤติอย่างที่เห็นๆกันอยู่ ทั้งในด้าน “กายภาพ” และ “จิตภาพ”!

เช่นนี้เอง ที่วาทกรรม “คนรวยกำลังเผาโลก” จึงเกิดขึ้น  เช่นนี้เอง โรคระบาดใหญ่แปลกๆใหม่ๆจึงเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน เช่นนี้เองที่ทำให้ “สงคราม” หรือ “การฆ่ากันเพื่องแย่งชิงประโยชน์” จึงเกิดขึ้นโดยตลอด ทั้งขนาดเล็ก และ ขนาดใหญ่  ทั้งยังเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆอย่างที่เห็นได้ชัดๆอยู่วันนี้

เช่นนี้เองคือที่มาของ “โลกร้อน” จนเกิดวิกฤติทางภูมิสภาพแก่โลก ทั้งน้ำท่วมใหญ่ น้ำแล้งหนัก ทั้งวาตภัย ภูเขาไฟปะทุ ขยะท่วมโลก อากาศเน่า มหาสมุทรวิกฤติ สิ่งชีวภาพสูญพันธุ์ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมถูกทำลาย ฯลฯ

นัก “นิเวศวิทยาเชิงลึก” (Deep Ecology) ในโลกนี้นั้นเกิดขึ้นและต่อสู้ รวมถึงเสนอแนวทาง “สิ่งแวดล้อมโลกใหม่”กันมานานแล้ว แต่มีหรือที่จะสามารถสู้กับ “ทุนนิยมบริโภคเสรี” ที่มี “กองทุนและอำนาจรัฐโลก” (ที่มีแสนยานุภาพด้านกองกำลังจัดตั้งที่ติดอาวุธทันสมัยที่สุด)อยู่ในมืออย่างเต็มศักยภาพ?

ทุนอันมหาศาล(ทั้งเงินและอื่นๆ)นั้นสามารถผลิตสร้างระบบ เช่นระบบการศึกษา ระบบการสื่อสารมวลชน และ ระบบบอื่นใดก็ตาม ที่จะเป็น “โปรแกรมเมอร์” โปรแกรมให้ “ประชากรโลก” ต้องเชื่อตาม (ทั้งโดยไม่รู้และรู้) และ เดินไปตามเส้นทางของการปล้นอย่างเซื่องๆแบบที่อาจเรียกได้ว่า คือ “การยอมจำนนที่แสนสุข”!

กล่าวเฉพาะสังคมไทยวันนี้ สถานการณ์ของผู้คนและบ้านเมืองเป็นอย่างไรบ้าง ในท่ามกลางวิกฤติที่สังคมโลกกำเผชิญอยู่?  ประจวบเหมาะกับที่การเลือกตั้งใหญ่กำลังจะมาถึง เราๆน่าจะยิ่งได้เห็นอะไรที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า “ชนชั้นนำ” ของเรา(คนกลุ่มเล็กๆที่จะขึ้นไปมีอำนาจใหญ่ๆในการบริหารประเทศและสังคม นับรวมไปถึงกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ “สัมพันธ์” เชิงผลประโยชน์อยู่กับพวกนี้ตลอดมา) เขาเอาอะไรมานำเสนอกับประชาชนในประเทศนี้บ้าง ในการการที่จะขึ้นไป “ปกครอง” หรือ “บริหาร” ประเทศ?!

ประมวลโดยสรุปให้สั้นที่สุดแล้ว ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกพรรค ล้วนนำเสนอเรื่องหลักเพียงเรื่องเดียวคือ “พวกผมจะทำให้พวกคุณมีเงินมากขึ้น”!

เพียงไม่ได้บอกว่า เงินที่จะเพิ่มให้นั่นนะ ก็เป็นเงินภาษีที่เก็บจากพวกคุณนั่นแหละ หรือก็คือเงินที่พวกผมไปกู้มาใช้แจกพวกคุณก่อน(ในรูปแบบต่างๆ)และก็ให้พวกคุณและลูกหลานนั่นแหละเป็นผู้ชดใช้หนี้ในภายหลัง ถ้าพวกคุณและลูกหลานใช้คืนไม่ได้ ก็ให้ประเทศนี้มันล่มๆไปใครจะทำไม

โลกยุคนี้มีเงินเสียอย่างอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ แถมอยู่ได้อย่างสุขสบาย และมีเกียรติเสียด้วยซิ! ไม่เชื่อก็ให้ลองเหลือบดูบรรดาท่านผู้นำรุ่นก่อนๆของประเทศที่ชื่อ “Thailand” นั่นปะไร มีกี่คนแล้วละ ที่ไปลอยหน้าเฉิบๆ เสพสุขอยู่กับเงินภาษีประชาชน (ทั้งได้โดยการโกงแบบตรงๆ และ โกงเชิงนโยบาย!) อยู่ในต่างประเทศ อยากได้สัญชาติอะไรก็ก็ซื้อเอา จะเดินทางไปไหนก็สบาย มีเครื่องบินส่วนตัวซะอย่าง! ฯลฯ

เชื่อเถอะนโยบายของสิ่งที่เรียกว่า “พรรคการเมือง” (ทั้งเก่าทั้งใหม่ มากเสียจนจำชื่อได้ไม่หมด) ของประเทศไทย ที่ทั้งปักดิน ติดเสาไฟฟ้า และอื่นๆ กันเกลื่อนเต็มทุกสายถนนของทุกเมืองทุกจังหวัดอยู่นั่นนะ ล้วนต้องมีที่มาที่ไป!

การที่พวกเขากล้าโฆษณาเหมือนกันแทบทุกพรรค (เกทับกันเสียด้วย)ว่าจะแจกเงินเรื่องนั้นเรื่องนี้ เท่านั้นเท่านี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ราษฎรหรือชาวบ้านชาวช่องส่วนใหญ่ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงให้พวกเขาต้องชอบหรือเป็นโรค “เงินขึ้นสมอง”กันแน่ๆ ไม่เช่นนั้นพวก “นักการเมือง” พวกนี้เขาไม่กระตุ้นเร้าด้วยอามิสสินจ้างกันโต้งๆอย่างนี้หรอก เขาต้องวิจัยวิจารณ์กันมาดีแล้ว!

ที่จริงการโฆษณาทำนองนี้เริ่มมีต้นแบบมาตั้งแต่ยุคเผด็จการสฤษดิ์ เมื่อครั้งเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะที่หนึ่งโน่นแล้ว อย่างเช่น “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีเงินใช้ ไร้โรคา” นั่นไง!

เพียงแต่เมื่อ 60 ปีก่อนจะดูดีกว่า เพราะยังสะท้อนลักษณะดีๆแบบไทยๆอยู่บ้าง นั่นคือมีลักษณะของคำที่คล้องจอง ทั้งเสียงและสัมผัส เดี๋ยวนี้ยิ่งมายิ่งดูหยาบๆพิกล 

ยังเหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึง 3 เดือนก็จะมีการเเลือกตั้ง “ผู้ปกครอง” ประเทศไทยชุดใหม่กันแล้ว  ท่ามกลางวิกฤติโลกที่กำลังรุนแรงอยู่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องทางกายภาพที่เกิดจาก “ระบบเงินเป็นใหญ่” (เพราะเป็นต้นเหตุตรงที่ทำให้ภาวะทางกายภาพทุกด้านของโลกเกิดหายนะ) ทั้งในด้านจิตภาพของมนุษย์ก็ดูจะดิ่งสู่จุดอับยิ่งขึ้นทุกที ยาเสพย์ติดครองโลก เกิดการฆ่าฟันกันทั้งในรูปแบบและนอกรูปแบบ ศีลธรรม จริยธรรมไม่มีเหลือฯลฯ แต่ไม่เห็นมีป้ายหาเสียงสักแผ่นที่มีเนื้อหาเชิงนโยบายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ที่ประเทศเราก็อยู่ในห่วงโซ่ด้วยกันบ้างเลยช่างรุ่งเรืองเรื่อง “เงิน” กันเสียจริงๆนะประเทศไทย!!!!ฯ