หลังจากเศรษฐกิจ พ้นกับดักโควิด และเริ่มโงหัวขึ้นมาได้บ้าง สำหรับประเทศไทยก็มีเรื่องที่น่ายินดี   ที่แสงสปอตไลต์โลก จะฉายจับมาที่เรา

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)  เปิดเผยว่า การประกาศ The Sustainability Yearbook 2023 โดย S&P Global บริษัทไทยได้รับการจัดอันดับในระดับ Gold Class จำนวน 12 บริษัทได้แก่ AWC, BJC, BTS, HMPRO, PTTGC, SCC, SCGP, TOP, TRUEE, TU, VGI และ ThaiBev ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก สะท้อนถึงความโดดเด่นของธุรกิจไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันจากทั่วโลก ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอชื่นชมความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้ยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทย ทั้งนี้ S&P Global เป็นผู้จัดทำดัชนีที่ผู้ลงทุนทั่วโลกใช้ในการวิเคราะห์และพิจารณาตัดสินใจลงทุน การได้รับจัดอันดับจะสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทำให้บริษัทอยู่ในสายตาของผู้ลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมี 5 บริษัทจดทะเบียนไทยที่เป็น Industry Mover คือมีพัฒนาการโดดเด่น มีคะแนนการประเมินความยั่งยืนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งได้แก่ AWC, CRC, SCGP, VGI และ WHA ด้วย

ทั้งนี้ S&P Global ได้ประเมินความยั่งยืนบริษัททั่วโลก 7,822 บริษัท โดยมี 710 บริษัทที่ได้รับการประกาศใน The Sustainability Yearbook 2023 ในจำนวนนี้เป็นบริษัทไทย 37 บริษัทซึ่งมากเป็นอันดับ 5 ของโลก การประกาศยังแบ่งการจัดอันดับเป็น 4 ระดับ ได้แก่ Gold, Silver, Bronze และ Member โดยระดับ Gold Class มีบริษัทไทย 12 บริษัท ลำดับที่สองคือสหรัฐอเมริกา 11 บริษัท ลำดับสามคือไต้หวันและอิตาลี 7 บริษัท

ในปีนี้ S&P Global ได้เพิ่มเกณฑ์การคัดกรองด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้นสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ โดยจะไม่ประกาศรายชื่อบริษัทในอุตสาหกรรมยาสูบ (Tobacco) และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงที่มาจากถ่านหิน (Coal & Consumable Fuel) ใน The Sustainability Yearbook 2023 ทั้งนี้ รายชื่อบริษัทดังกล่าวจะถูกนำไปคัดเลือกเพื่อเข้าสู่ดัชนีด้านความยั่งยืนต่างๆ ของ S&P Global ทั้ง Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) และ S&P ESG Index Family ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 ได้รับทราบแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 - 2570) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ที่มุ่งสนับสนุนทุกภาคส่วนให้ปรับสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเสริมสร้างความอยู่ดีมีสุขทางการเงินของประชาชน ซึ่งคาดว่าแผนดังกล่าวจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทย และพาเศรษฐกิจไทยพลิกฟื้น เติบโตอย่างยั่งยืน