สถาพร ศรีสัจจัง

ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนคงได้รับการ “ส่งต่อ” เกี่ยวกับ “สปีช” ของนักศึกษาจีนแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่งคนหนึ่ง ที่เข้าร่วมประกวดแข่งขันการกล่าวสุนทรพจน์ทางทีวี ช่องหนึ่งในสาธารณรัฐประชาชนจีน คนที่แปลสุนทรพจน์เรื่องนี้ออกเผยแพร่ ดูเหมือนจะเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยท่านหนึ่ง ชื่อ “อาจารย์อาร์ม” ซึ่งได้ทุนไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดขณะนี้

ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวก็เพราะตัวเองก็ได้รับและได้อ่านสุนทรพจน์ดังกล่าวด้วย อ่านแล้วก็รู้สึกอะไรบางอย่าง ที่อยากจะนำมาอภิปรายกันต่ออีกสักหน่อย

กล่าวโดยสรุป สุนทรพจน์ที่ใช้เวลาในการ “สปีช” เพียงประมาณ 3 นาทีเรื่องนี้  ผู้กล่าวสุนทรพจน์เพียงต้องการแสดงให้เห็นว่า คนหนุ่มสาวรุ่นพวกเธอกำลังตกอยู่ใน “วิกฤติ” ศรัทธาเรื่อง “การเป็นคนดี” เพราะ บริบทของผู้คนและกระแสสังคมในระบบทุนนิยมที่มุ่งสร้างระบบ “เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด” ไม่เอื้อให้คนหนุ่มสาวยุคนี้ไฝ่ไปในทางอุดมคติแห่งความเป็น “คนดี”ได้เลย 

เพราะทั้งครอบครัว สถานศึกษา กลุ่มเพื่อนพ้องน้องพี่ ฯลฯ ล้วนพยายามป้อนข้อมูลในทำนองว่า เกิดเป็นคนต้องเรียนรู้ที่จะต้อง “เอาตัวรอดไว้ก่อนเป็นดีที่สุด”

เข้าทำนอง “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” เหมือนกลอนสุนทรภู่ในเรื่องพระอภัยมณี ที่พระดาบสสอนลูกศิษย์ คือ “สุดสาคร” นั่นแหละ!

สรุปให้ชัดๆสั้นๆเข้าไปอีกก็คือ “ต้องเอาผลประโยชน์ของตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด”! ไม่ว่าผลประโยชน์นั้นจะมีส่วนในการ “เบียดเบียน” หรือบ่อนเซาะทำลายคนอื่นหรือสังคมส่วนรวมอย่างไรก็ตาม!

เพราะ “ผลประโยชน์” ซึ่งอาจเป็นเงินทอง โภคทรัพย์ต่างๆนานา หรือ เกียรติยศ ชื่อเสียงในรูปแบบต่างๆ ฯลฯ ล้วนคือที่มาของ “ความสำเร็จแห่งชีวิต” ของผู้คนในสังคมยุคปัจจุบัน

สรุปเป็นสมการรูปธรรมที่สัมผัสเข้าใจได้ง่ายอย่าง “ที่สุด” น่าจะได้เป็นดังนี้ :

“ความมั่งคั่งร่ำรวย = ความดี =ความสุข !”

แปลผลสมการนี้เป็น “การพรรณนาวิเคราะห์” ก็จะได้เป็นประมาณว่า : “ความร่ำรวย (ไม่ต้องตั้งคำถามว่า “รวย” มาจาก “กรรม” อันใด) คือแหล่งที่มาของ “ความดี” แห่งชีวิต และ ที่สำคัญก็คือ ความมั่งร่ำรวยนี่เองที่เป็นทางเดียวของ “ความสุขหรือความสำเร็จแห่งชีวิต”

ดังนั้น ยุคสมัยปัจจุบัน “อุดมคติ” และ “ความฝัน” ของคนหนุ่มสาว (และ ผู้คนทั่วไป แม้แต่ที่แก่หัวหงอกจะเข้าโลงอยู่แล้วก็เถอะ!) เป้ามุ่งของชีวิตล้วนคือต้อง “รวยให้ได้มากที่สุด” ซึ่งแปลว่า “ต้องมีเงินให้มากที่สุดเท่าที่มากได้” (เพราะยุคปัจจุบัน คนมีอุดมคติว่า “เงินซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง”!)

ซื้อความดีก็ได้(บริจาคในรูปแบบต่างๆ) ซื้อบุญก็ได้ (สร้างวัด-สร้างพระ-สร้างมัสยิด-และศาสนสถานอื่นๆฯลฯ) ซื้อความสวยความหล่อก็ได้ (เครื่องประทินโฉม-เครื่องแต่งกาย-เครื่องประดับ ผ่าตัดเสริมความงาม ฯลฯ) สนองความต้องการทางเพศสภาพก็ได้(ผ่าตัดแปลงเพศ) 

และที่สำคัญที่สุดคือ “ซื้อคน” ก็ได้ (เช่น ใช้เงินซื้อเพื่อให้มาเป็นลูกน้องหรือสมุนรับใช้ ซื้อเสียงเพื่อให้ตัวเองได้เป็น “ผู้แทน” ในระบอบสุดหรูที่ชื่อ “ประชาธิปไตย เพื่อการเข้าสู่” อำนาจ แห่งการแสวงหาผลประโยชนสูงสุดในทุกด้านของตัวเองต่อไป ฯลฯ)

สังคมไทยของเราวันนี้ตกอยู่ใน “สมการนี้” หรือเปล่า? 

ตกอยู่ในสถานการณ์ตามเนื้อหาเรื่องราวที่นักศึกษาจีนกล่าวสุนทรพจน์หรือเปล่า?ที่ ว่า “กระแสสังคม” สอนให้เราสามารถ “ทำชัว” ได้โดยรู้สึกว่า “สิ่งนั้นคือเรื่องธรรมดาๆเรื่องหนึ่งเท่านั้น!” หรือ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยังอยากเป็น “คนดี” (ตามคำสอนเชิงจริยธรรมในอดีตทั้งหลายทั้งปวง ทั้งคำสอนของทุกศาสนา และ ลัทธิความเชื่อ หรือ คำสอนเชิงคตินิยมแก่เก่าของบรรชนทั้งหลายทั้งปวง)

นักศึกษาผู้กล่าวสปีชนี้ยังตั้งข้อพยากรณ์แบบน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ว่า บรรดาคนกนุ่มคนสาวรุ่นพวกเขาที่เกิดหลังปี ค.ศ.1990 นี่แหละ ที่บางคนจะต้องเข้าสู่สถานะบางสถานะที่เป็น “somebody” สำคัญๆของสังคม เช่น เป็นผู้นำทางการเมืองในการบริหารประเทศ (เช่น ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้แทนราษฎรในระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับชุมชน จนถึงระดับประเทศ) เป็นผู้พิพากษา เป็นแพทย์ เป็นวิศวกร เป็นครู ฯลฯ

ถ้าวิธีคิดหรือคตินิยมอันตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “ความเบียดเบียน” แบบที่เชื่อว่า “อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน ขอให้กูได้ประโยชน์ หรือ “รวย” ก่อนก็เป็นพอ “เพราะความรวยคือความดี เพราะความรวยคือความสุข!” ทุกชุมชน ทุกสังคมประเทศ ทั้งสังคมโลก และตัวผู้ประกอบ “กรรม” คนนั้นเอง (รวมถึงครอบครัวเครือญาติ และ เพื่อนพ้องโคตรเง่าศักราช) หรือ จะไม่ต้องเพียงรอเพื่อการพบจุดจบ!

หรือวิกฤติและหายนะที่พร่าผลาญชีวิตมนุษยชาติเพิ่มขึ้นวันแล้ววันเล่า ทั้งในรูปของความป่าเถื่อนที่เรียกว่า “สงคราม” (ภูมิรัฐศาสตร์) ทั้งในรูปของสิ่งที่เรียกว่า “วิกฤติกายภาพโลก” (การเปลี่ยนแปลงขอสภาพภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ โรคระบาดใหญ่ ฯลฯ)

ถึงเวลาหรือยังละ? ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะต้องระบุคุณสมบัติว่า คนที่จะสมัครเข้ารับคัดเลือกเพื่อเป็น “ผู้แทนราษฎร” ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชาติจนถึงระดับหมู่บ้าน จะต้องผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการจริงอย่างเข้มข้นและต้องได้รับใบประทับรับรองจากองค์กรที่ผ่านการพิสูจน์ว่าเชื่อถือได้จริงแท้ด้าน คุณธรรม จริยธราม และศีลธรรม (ไม่ใช่วัดหรือองค์กรทางศาสนาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน) และต้องพร้อมที่จะต้องได้รับการ “ปัพพาชนียกรรม” ทันที ถ้ามีปรากฏการณ์ให้เห็นว่าในชีวิตจริงของพวกเขา “ละเมิด” เรื่องราวที่เกี่ยวกับจริยธรรม!

เรื่องสำคัญที่สุดที่จะต้องอบรมเคี่ยวกรำแบบ “เอาเป็นเอาตาย” กับคนพวกนี้ก็คือโดยวิธีใดก็ตาม ต้องทำให้พวกเขาเชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักการคำสอนของพระพุทธศาสนาให้ได้! แล้วเมืองไทยอาจจะ “รอด”!!